ความสำเร็จในการคุมโควิดของจีนพังเพราะเดลตาหลังคลัสเตอร์ที่เมืองนานจิงกระจายไปถึงปักกิ่ง
สำนักข่าว AFP รายงานว่า คลัสเตอร์ Covid-19 ที่เมืองนานจิงในมณฑลเจียงซูทางตะวันออกของจีนกระจายไปในมณฑลอื่นอีกอย่างน้อย 5 มณฑล รวมทั้งในกรุงปักกิ่ง ทำให้หลายพื้นที่ต้องล็อกดาวน์อีกครั้ง ขณะที่สื่อท้องถิ่นระบุว่าครั้งนี้เป็นการรระบาดที่หนักที่สุดนับตั้งแต่การระบาดที่เมืองอู่ฮั่นเมื่อช่วงปลายปี 2019
ก่อนหน้านี้จีนภาคภูมิใจกับความสำเร็จในการควบคุมการระบาดของ Covid-19 หลังจากสั่งล็อกดาวน์ครั้งแรกของโลกเมื่อต้นปี 2020 ที่เมืองอู่ฮั่นซึ่งเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาด
ทว่า การแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตาที่เริ่มจากสนามบินนานจิงเมื่อช่วงต้นเดือนทำให้ด่านของจีนแตก
เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมาพนักงานทำความสะอาด 9 คนของสนามบินหนานจิงลู่โข่วมีผลตรวจ Covid-19 เป็นบวก โดยทั้งหมดเข้าไปทำความสะอาดห้องโดยสารของเที่ยวบิน CA910 จากรัสเซียเมื่อวันที่ 10 ก.ค.
หลังจากนั้นก็เริ่มมีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาเพิ่มขึ้น โดยเมื่อวันศุกร์ (30 ก.ค.) เมืองหนานจิงพบผู้ติดเชื้อทั้งหมด 184 ราย ขณะที่ทั่วประเทศพบผู้ติดเชื้อแล้วอย่างน้อย 206 ราย ที่เกี่ยวข้องกับคลัสเตอร์สนามบินหนานจิง
เบื้องต้นทางการมณฑลเจียงซูสั่งล็อกดาวน์พื้นที่และเร่งตรวจหาเชื้อในประชากรทั้งหมด 9.2 ล้านคน
ขณะนี้เดลตาแพร่ระบาดไปแล้วอย่างน้อย 13 เมืองของ 5 มณฑล รวมทั้งเมืองเฉิงตู เมืองฉงชิ่ง และกรุงปักกิ่ง จนทางการกรุงปักกิ่งต้องล็อกดาวน์เมืองฉางผิงซึ่งพบผู้ติดเชื้อในชุมชน 2 ราย นับเป็นการติดเชื้อในชุมชนครั้งแรกในรอบ 6 เดือนของกรุงปักกิ่ง
เจ้าหน้าที่บ้านเมืองกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ของสนามบินหนานจิงว่า ขาดการกำกับดูแลที่ดีและขาดความเป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการ และตำหนิว่าไม่มีการแยกพนักงานทำความสะอาดบนเที่ยวบินระหว่างประเทศกับเที่ยวบินในประเทศ
สัปดาห์ที่แล้วสื่อท้องถิ่นรายงานโดยอ้างคำพูดของแพทย์อาวุโสของเมืองหนานจิงว่า ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ที่หนานจิงฉีดวัควีนแล้ว ทำให้โลกออนไลน์ตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของวัคซีนของจีน
จางเหวินหง ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อในเซี่ยงไฮ้เผยว่า “ถ้าเป้าหมายคือการชะลอการแพร่ระบาดและลดอัตราการเสียชีวิต วัคซีนของจีนปกป้องได้ดี แต่ถ้าเป้าคือการขจัดไวรัส อาจเป็นสิ่งที่วัคซีนที่มีอยู่ไม่สามารถตอบสนองได้”