ทางการญี่ปุ่นประกาศเพิ่มเพดานรับนักเดินทางขาเข้ามากขึ้นเป็นเท่าตัวตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2565 โดยเพิ่มเป็น 20,000 คนต่อวัน พร้อมทั้งอนุญาตให้นักเดินทางส่วนใหญ่ไม่ต้องทดสอบเชื้อไวรัสโควิด-19 และไม่ต้องกักตัว ต่อไปนี้เป็น 5 เรื่องต้องรู้ก่อนเดินทางไปญี่ปุ่น
ญี่ปุ่น ประกาศเพิ่มเพดาน รับนักเดินทางขาเข้ามากขึ้น วานนี้ (1 มิ.ย.) ขณะที่มีการ ผ่อนปรนมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าประเทศ อย่างต่อเนื่องหลังจากที่การแพร่ระบาดของ โรคโควิด-19 ส่งสัญญาณในทิศทางที่ดีขึ้นและคลายความน่ากังวลลง นอกจากนี้ เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 10 มิ.ย. เป็นต้นไป ญี่ปุ่นยังมีแผนจะกลับมารับนักท่องเที่ยวต่างชาติ “เป็นระยะ ๆ”
นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) ได้รวบรวม 5 เรื่องน่ารู้ สำหรับผู้ต้องการเดินทางไปญี่ปุ่น เอาไว้ ดังนี้
1) ตั้งแต่วันพุธที่ 1 มิ.ย.2565 เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ญี่ปุ่นเพิ่มเพดานรับนักเดินทางขาเข้ามากขึ้นเป็นเท่าตัว จากเดิมรับวันละ 10,000 คน เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 20,000 คน
ทั้งนี้ นักเดินทางขาเข้าจาก 98 ประเทศและภูมิภาค ที่ญี่ปุ่นกำหนดให้เป็นกลุ่ม “สีน้ำเงิน” ซึ่งมีความเสี่ยงโควิดต่ำ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ จีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และไทย และมีสัดส่วนคิดเป็นราว 80% ของนักเดินทางขาเข้าของญี่ปุ่น จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 เมื่อเดินทางมาถึง (on-arrival COVID testing) และไม่ต้องกักตัว (quarantine) แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนก็ตาม
ส่วน นักเดินทางขาเข้าจากอีก 99 ประเทศและภูมิภาค ที่ญี่ปุ่นกำหนดให้อยู่ในกลุ่ม “สีเหลือง” เช่น เวียดนาม อินเดีย และบรูไน ก็ได้รับการยกเว้นให้ไม่ต้องตรวจหาเชื้อและไม่ต้องกักตัวเช่นกัน หากพวกเขาได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบ 3 โดสแล้ว โดยต้องเป็นวัคซีนยี่ห้อที่ญี่ปุ่นยอมรับ และต้องแสดงผลการตรวจโควิดเป็นลบภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทางมายังญี่ปุ่น
ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนครบ 3 โดส (3 เข็ม) และยี่ห้อวัคซีนที่ญี่ปุ่นยอมรับนั้น ได้แก่ Pfizer 3 เข็ม, Moderna 3 เข็ม, Novavax 3 เข็ม, AZ 2 เข็มแรก (เข็มที่ 3 ต้องเป็น Pfizer, Moderna, Novavax), Covaxin 2 เข็มแรก (เข็มที่ 3 ต้องเป็น Pfizer, Moderna, Novavax) Johnson & Johnson 1 เข็ม
สำหรับ นักเดินทางที่ยังไม่ได้รับการยกเว้นให้ไม่ต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 และกักตัว คือ นักเดินทางจากประเทศและภูมิภาคกลุ่มสีเหลืองที่ยังไม่มีใบรับรองการฉีดวัคซีน รวมทั้งนักเดินทางจากประเทศกลุ่ม “สีแดง” เช่น ปากีสถาน ฟิจิ อัลเบเนีย และเซียร์ราลีโอน เป็นต้น
ดูรายชื่อประเทศทั้งหมดในกลุ่มสีน้ำเงิน เหลือง และแดง คลิก ที่นี่
2) นักท่องเที่ยวจะเข้าญี่ปุ่นได้เมื่อไหร่
ตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย.2565 เป็นต้นไปภายใต้เงื่อนไขบางประการ
นักท่องเที่ยวที่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศญี่ปุ่น ต้องเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเป็นกรุ๊ปทัวร์(ที่มีไกด์เท่านั้น) จัดโดยบริษัทท่องเที่ยวที่ได้รับใบอนุญาตในประเทศญี่ปุ่นหรือองค์กรการท่องเที่ยวอื่น ๆที่ตั้งอยู่ในประเทศญี่ปุ่น
ทั้งนี้ ปลายเดือน พ.ค. ได้มีการทำโครงการนำร่องเปิดรับนักท่องเที่ยวที่มาเป็นกรุ๊ปทัวร์ จำนวนประมาณ 50 คนจาก 4 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และไทย ซึ่งผลจากโครงการทดสอบเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ (Test Tourism) ครั้งนี้ ทางกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวญี่ปุ่น (MLIT) จะรวบรวมประมวลเพื่อออกเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับบริษัทท่องเที่ยว ก่อนกลับมาเปิดการท่องเที่ยวอีกครั้งอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต ซึ่งยังไม่ได้กำหนดว่าเมื่อไหร่
สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า การบังคับใส่หน้ากากอนามัยจะยังคงเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันโควิด-19 ที่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาญี่ปุ่นยังต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
รายละเอียดเพิ่มเติม (ภาษาอังกฤษ) คลิก ที่นี่
3) ทำไมผู้นำญี่ปุ่นถึงเลือกใช้มาตรการนี้
ญี่ปุ่นเปิดประเทศรับนักเดินทางต่างชาติเนิ่นช้ากว่าประเทศอื่น ๆอยู่มากเมื่อเทียบกับบรรดาประเทศในโลกตะวันตก รวมทั้งหลายประเทศในเอเชีย เช่น สิงคโปร์ ที่เปิดพรมแดนรับนักเดินทางต่างชาติจากทุกประเทศและภูมิภาคโดยไม่ต้องกักตัว (หากฉีดวัคซีนมาครบโดสแล้ว) ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา
นายฟุมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น แถลงเมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันประกาศผ่อนปรนมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าประเทศว่า ญี่ปุ่นยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการควบคุมการเข้าประเทศเพื่อสร้างความมั่นใจว่าระบบการแพทย์จะมีความแข็งแกร่งเพียงพอสำหรับการรับมือกับโรคระบาด และขณะเดียวกันก็เป็นการให้เวลากับกระบวนการฉีดวัคซีนป้องกัน อย่างไรก็ตาม เขายืนยันว่าตั้งแต่ 26 พ.ค.เป็นต้นไป ญี่ปุ่นจะค่อย ๆ ผ่อนคลายมาตรการควบคุมนี้เป็นลำดับ ขณะที่นักวิเคราะห์กล่าวว่า นายคิชิดะจำเป็นต้องคงมาตรการควบคุมไว้เพื่อรักษาคะแนนนิยม โดยผลการสำรวจเมื่อเร็ว ๆนี้พบว่า 70% ของผู้ตอบคำถามการสำรวจ ระบุว่าพวกเขาสนับสนุนมาตรการรับมือโควิดของรัฐบาล
4) การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดมีความหมายต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นอย่างไร
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นตกอยู่ในภาวะเสียหายหนักจากการระบาดของโควิด-19 มาสองปีแล้ว การใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติเคยแตะระดับสูงสุดที่ 4.8 ล้านล้านเยน หรือราว 38,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2562 แต่หลังจากโควิด-19 แพร่ระบาดในญี่ปุ่น การใช้จ่ายดังกล่าวก็ตกลงมาอยู่ในระดับ 744,600 ล้านเยนในปี 2563 และ 120,800 ล้านเยนในปี 2564
อุตสาหกรรมการบิน การโรงแรม และร้านอาหาร ลอยแพพนักงานเป็นจำนวนมากเมื่อนักท่องเที่ยวลดลงในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หลังรัฐบาลเริ่มเปิดประเทศ คาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้จะเริ่มเปิดรับนักเดินทางขาเข้าเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 20,000 คน ก็ยังยากที่สถานการณ์จะกลับมาดีเหมือนช่วงก่อนโควิดแพร่ระบาด ทั้งนี้ สถิติชี้ว่า ปี 2562 ญี่ปุ่นมียอดนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนถึง 31.9 ล้านคน หรือเฉลี่ยประมาณ 87,000 คนต่อวัน (ซึ่งยังห่างจากยอดเปิดรับนักเดินทางขาเข้า 20,000 คนต่อวันในขณะนี้อยู่มาก)
5) อุตสาหกรรมท่องเที่ยวญี่ปุ่นตอบรับมาตรการผ่อนคลายอย่างไร
แน่นอนว่า เสียงตอบรับของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นไปในเชิงบวก ตัวแทนบริษัทท่องเที่ยวรายหนึ่งจากสิงคโปร์เผยว่า นับตั้งแต่มีข่าวญี่ปุ่นเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง ก็มีคนสอบถามเข้ามามากมายอย่างเห็นได้ชัดเกี่ยวกับทัวร์ประเทศญี่ปุ่น คาดว่าจะมียอดการจองทัวร์ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆหากมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมลงมากกว่านี้อีก
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมมากนักว่า สุดท้ายแล้วมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวของญี่ปุ่นจะออกมาเช่นไร เพราะตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา (30 พ.ค.) โครงการทดสอบเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ก็หยุดชะงักไปชั่วคราวหลังตรวจพบนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์คนหนึ่งจากประเทศไทย มีผลตรวจโควิดเป็นบวก
โฆษกของบริษัทตัวแทนท่องเที่ยวรายหนึ่งของญี่ปุ่นกล่าวว่า บริษัทของเขาจะรอจนกว่ารัฐบาลมีแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นทางการออกมาก่อนจึงจะเริ่มทำการตลาดอย่างจริงจัง