ตกนรกทั้งเป็น! ม.3ร่ำไห้ ถูกเสี่ยเจ้าของรีสอร์ทบังคับขายบริการสนองตัณหาแขกที่เข้ามาพักในรีสอร์ทขัดดอก หลังไปยืมเงิน6,300บาทรักษาย่าป่วยต้องผ่าตัดด่วน แม่บุญธรรม เผย ไม่กล้าแจ้งความเพราะเสี่ยอ้างรู้จัก ตร.ทั้งโรงพัก วอนมูลนิธิฯหรือหน่วยงานช่วยหวั่นไม่ปลอดภัย
24 เมษายน 2565 นางน้อย (นามสมมติ) อายุ44ปี ได้พา น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ15ปี ลูกบุญธรรม ซึ่งปัจจุบันเรียนอยู่ชั้น ม.3ในอ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ออกมาร้องขอความช่วยเหลือ โอยอ้างว่าน้อง ม.3 ถูกเสี่ยเจ้าของรีสอร์ทแห่งหนึ่งในละหานทราย บังคับให้ขายบริการสนองตัณหาแขกที่เข้ามาพักในรีสอร์ทของตัวเอง เพื่อขัดดอกหลังจากที่น้องไปยืมเงินเสี่ย6,300บาท เพื่อนำไปรักษาย่าวัย70ปีที่ป่วยต้องผ่าตัดด่วน พอเด็กไม่ยอมไปรับแขกตามที่สั่งก็จะขู่ว่าจะแจ้งความที่ยืมเงินแล้วไม่จ่าย ทั้งจะประจานให้อับอายน้องผู้เสียหายจึงจำใจต้องทำ โดยไปรับแขกตามที่เสี่ยเจ้าของรีสอร์ทสั่งทั้งหมด4ครั้ง จนเด็กทนไม่ไหวแล้วอยากจะหยุดแต่ก็ถูกขู่ไม่มีใครช่วยได้ เพราะเขาอ้างรู้จัก ตร.ทั้งโรงพัก
โดย ด.ญ.เอ เล่าว่า เมื่อช่วงเดือน มิ.ย.2564เธอมีปัญหาในครอบครัวทะเลาะกับพ่อ จนถูกพ่อไล่ออกจากบ้านด้วยความน้อยใจ จึงไปขออาศัยอยู่กับรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่พักอยู่ในรีสอร์ทแห่งหนึ่ง รุ่นพี่คนดังกล่าวก็เลยพาไปแนะนำให้รู้จักกับเฮียเจ้าของรีสอร์ทแต่พอตนไปอยู่ด้วยประมาณ2สัปดาห์รุ่นพี่คนดังกล่าวก็มีแฟน แล้วพี่เขาก็ไปอยู่กับแฟนปล่อยให้เธออยู่ห้องคนเดียว หลังจากนั้นประมาณ2-3วัน ที่รุ่นพี่ไม่อยู่ห้องเฮียเจ้าของรีสอร์ทก็เรียกให้เข้าไปหา โดยเฮียถามว่าสนใจมาดูแลเฮียมั๊ย ซึ่งเธอเข้าใจว่าที่เฮียบอกจะให้ไปดูแลคือการไปหุงข้าว ล้างจาน ทำความสะอาดบ้าน หรือไปบีบนวดให้เพราะเฮียอายุมากแล้วน่าจะประมาณ60ปี เธอไม่ได้คิดว่าจะให้ไปรองรับตัณหาของเฮียจึงตอบไปว่าขอคิดดูก่อน แต่เธอก็ไม่ได้ไปตามที่เฮียชักชวน กระทั่งได้กลับไปอยู่ที่บ้านต่อมาช่วงเดือน ธ.ค.2564ย่าอายุ70ปี ก็ล้มป่วยต้องผ่าตัดถุงน้ำดีในรังไข่ด่วน แต่ที่บ้านไม่มีเงินเธอก็เลยโทรไปขอยืมเงินรุ่นพี่ผู้หญิงที่เธอเคยไปขออยู่ด้วย แต่เขาบอกว่าไม่มีเงินให้ยืมกลับแนะนำให้เธอลองไปขอยืมเฮียเจ้าของรีสอร์ทดู เธอจึงตัดสินใจไปยืมเงินจากเฮียตามที่รุ่นพี่แนะนำ แล้วเฮียก็บอกให้เข้าไปหาเพื่อให้เซ็นสัญญากู้ยืมโดยให้เธอเขียนเองด้วยลายมือ แล้วเธอก็นำเงิน6,300บาทที่ยืมไปจ่ายค่ารักษาย่า
กระทั่งช่วงเดือน ธ.ค.64หรือ ม.ค.65เฮียก็เรียกเธอเข้าไปหาบอกว่าให้มาดูแลเฮียหน่อย เธอก็เข้าใจว่าเฮียไม่สบายต้องการให้ไปหาข้าว หาน้ำให้กิน เธอก็เลยเข้าไปหาที่รีสอร์ท แต่พอไปถึงเฮียก็กระชากแขนลากเข้าห้อง แล้วเฮียก็จับนม จับก้น แล้วก็ล้วงอวัยวะเพศพยายามจะข่มขืน แต่เธอไม่ยอมจึงดิ้นขัดขืนจนสามารถหนีออกมาได้ ก็เลยโทรบอกให้เพื่อนมารับออกไป
ด.ญ.เอ ยังเล่าทั้งน้ำตาต่อว่า หลังจากที่เธอหนีออกมาได้ประมาณ2เดือน เฮียก็โทรไปขู่เธอบอกว่าถ้าไม่มาทำงานใช้หนี้ที่ยืมไป จะไปบอกให้ที่บ้านรู้และจะไปแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งการทำงานใช้หนี้คือบังคับให้เธอขายบริการให้กับแขกที่มาพักในรีสอร์ท แต่แขกคนแรกเธอนั่งร้องไห้อย่างเดียวจนแขกสงสารจึงไม่ได้ทำอะไร และให้เงินมา1,500บาท จากนั้นเธอก็หายไปไม่ติดกับเฮียเจ้าของรีสอร์ทอีก จนผ่านไปเกือบเดือนเฮียก็โทรไปขู่อีกว่าถ้าไม่มาทำงานให้ จะไปแจ้งความและประจานให้ที่บ้านรู้ เธอไม่อยากให้ที่บ้านรู้และคิดมาก เพราะย่าป่วยติดเตียง ปู่ก็เป็นอัลไซเมอร์ เธอก็เลยจำใจต้องไปรับแขกตามที่เฮียสั่งรวมทั้งหมด4ครั้ง แต่หนี้ก็ยังคงเหลือ6,300บาทเหมือนเดิม กระทั่งเมื่อ2–3วันก่อนเฮียก็ไลน์มาให้เข้าไปหาอีก แต่ตนไม่อยากทำงานแบบนี้แล้วจึงตอบปฏิเสธไป แล้วไปขอความช่วยเหลือจากแม่บุญธรรม
ด้าน น.ส.น้อย (นามสมมติ) ซึ่งเด็กผู้เสียหายนับถือเป็นแม่บุญธรรม บอกว่า จากสิ่งที่เด็กเล่าถือเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากสำหรับเด็กคนหนึ่ง ที่ตัดสินใจไปยืมเงินเพื่อมารักษาย่าป่วย แต่เจ้าของรีสอร์ท กลับพยายามจะข่มขืน แต่พอเด็กไม่ยอมก็ขู่บังคับให้เด็กไปขายบริการให้กับแขกที่มาพักในรีสอร์ทของตัวเอง เพื่อสนองความใคร่ให้กับแขกพวกนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องแต่ที่เด็กยอมทำ เพราะเฮียข่มขู่จะแจ้งความและเอาเรื่องไปประจานที่บ้านเด็กก็กลัวจึงต้องยอมทำ แถมยังขู่ด้วยว่าทำอะไรเขาไม่ได้เพราะเขารู้จักตำรวจในพื้นที่ทุกคนตนจึงไม่กล้าพาเด็กไปแจ้งความเพราะหากเป็นเหมือนที่อ้าง ก็กลัวจะไม่ได้รับความเป็นธรรมและกลัวเรื่องความปลอดภัย แต่ที่นำเรื่องออกมาร้องผ่านสื่อเพราะต้องการให้มูลนิธิฯ หรือหน่วยงานที่สามารถช่วยเหลือเด็กได้ เข้ามาช่วยเหลือน้องด้วย เบื้องต้นตนก็ได้พาน้องไปตรวจร่างกายที่ รพ. หมอก็ให้ยาฆ่าเชื้อ และยาป้องกันติดเชื้อHIVมารับประทาน ตอนนี้ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจเด็กที่โดนกระทำในลักษณะดังกล่าวก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น