ตร.นครปฐม ตั้งด่านสกัดจับ 3 ผู้ต้องหาลอบขนอาวุธสงคราม “ระเบิดมือ-เครื่องกระสุน” ส่งขายชายแดนเมียนมา

ชุดสืบภูธรภาค 7 และตำรวจนครปฐม ตั้งด่านสกัดจับ 3 ผู้ต้องหาขับรถลอบขนอาวุธสงคราม เป็นระเบิดมือและเครื่องกระสุนปืนจำนวนหนึ่ง สารภาพซื้อต่อมา เพื่อจะนำไปขายต่อ ยังชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 20 ก.ย. 65 ที่สำนักงาน ตร.ภ.7 พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธํารงค์ ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.บุญญฤทธิ์ รอดมา รอง ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.ชมชวิณ ปุระธนานนท์ ผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.พงษกร อุปพงษ์ รอง ผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.ไพบูลย์ แพรสีนวล ผกก.สภ.เมืองนครปฐม พร้อมชุดสืบสวน ภาค 7 ชุดสืบสวน ภ.จว.นครปฐม ชุดสืบสวน สภ.เมืองนครปฐม ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ระเบิดสังหาร จำนวนมาก ขณะลำเลียงนำไปส่งขายยังชายแดนด้าน จ.กาญจนบุรี ตำรวจนครปฐม รู้แกว ตั้งด่านตรวจสกัดจับกุมตัวได้ ที่ถนนเพชรเกษม หน้าร้านอาหารกุ้งอบภูเขาไฟ ต.สนามจันทร์ อ.เมืองนครปฐม

ตำรวจนครปฐม จับ 3 ผู้ต้องหาลอบขนระเบิด-เครื่องกระสุน ส่งขายชายแดนเมียนมา

ได้ผู้ต้องหา 3 ราย นายวี พิมพร อายุ 54 ปี ชาวบ้าน หมู่ 1 ต.หนองปรือ อ.หนองปรือ จ.กาญจนบุรี นายศักดา ทองไวย อายุ 47 ปี ชาวบ้าน หมู่ 6 ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี และ นายบุญเจิด กระเจียงหอม อายุ 47 ปี ชาวบ้าน หมู่ 9 ต.นครชุม อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี พร้อมด้วยของกลาง รถยนต์กระบะอีซูซุ แค็บ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน บม 8866 กาญจนบุรี วัตถุระเบิดขว้างแบบสังหารบุคคล MK2 จํานวน 1 ลูก วัตถุระเบิดขว้างแบบสังหารบุคคล M26 จํานวน 1 ลูก

ตำรวจนครปฐม จับ 3 ผู้ต้องหาลอบขนระเบิด-เครื่องกระสุน ส่งขายชายแดนเมียนมา

นอกจากนี้ยังพบเครื่องกระสุนปืนขนาด .45 จํานวน 217 นัด เครื่องกระสุนปืนขนาด 9 มม. จํานวน 60 นัด เครื่องกระสุนปืนขนาด 7.65 มม. จํานวน 19 นัด เครื่องกระสุนปืนขนาด 7.62 x 39 มม. จํานวน 75 นัด เครื่องกระสุนปืนขนาด 5.56 x 45 มม. จํานวน 95 นัด แม็กกาซีน 7.65 มม. จํานวน 2 อัน แม็กกาซีน เอ็ม 16 จํานวน 2 อัน กระเป๋าลายพรางทหาร จํานวน 1 ใบ ตั้งข้อกล่าวหาว่า ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน นอกจากที่กําหนดในกฎกระทรวงที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ ไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้พกพา”

ตำรวจนครปฐม จับ 3 ผู้ต้องหาลอบขนระเบิด-เครื่องกระสุน ส่งขายชายแดนเมียนมา

ผบช.ภ.7 เปิดเผยว่า พฤติการณ์ในการจับกุม เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 65 ในช่วง 18.00 น. พล.ต.ต.ชมชวิณ ปุระธนานนท์ ผบก.ภ.จว.นครปฐม ได้รับรายงานจากสายว่าจะมีการขนกระสุนปืนและวัตถุระเบิด จำนวนมากจะส่งไปขายยังชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เขตติดต่อ จ.กาญจนบุรี รถจะวิ่งผ่านนครปฐม จึงรายงานให้ตนเองทราบ และได้สั่งการ พ.ต.อ.ไพบูลย์ แพรสีนวล ผกก.สภ.นครปฐม ตั้งด่านสกัดจับรถที่ต้องสงสัยตรวจรถทุกคัน ที่ถนนเพชรเกษมหน้าร้านกุ้งอบภูเขาไฟ เส้นทางไปกาญจนบุรี

ตำรวจนครปฐม จับ 3 ผู้ต้องหาลอบขนระเบิด-เครื่องกระสุน ส่งขายชายแดนเมียนมา

พล.ต.ท.ธนายุตม์ กล่าวต่อว่า จนกระทั่งเวลา 03.50 น. ขณะเจ้าหน้าที่ตํารวจ สภ.เมืองนครปฐม ได้ตั้งจุดตรวจจุดสกัดพบเห็นรถยนต์กระบะอีซูซุ แค็บ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน บม 8866 กาญจนบุรี ขับขี่ผ่านเข้ามาในด่านตรวจ โดยมีชาย 3 คน นั่งมาภายในรถ มีนายวี พิมพร เป็นผู้ขับขี่ นายศักดา ทองไวย และนายบุญเจิด กระเจียงหอม นั่งโดยสารมาด้วย จึงได้เรียกให้หยุดเมื่อสอบถามปรากฏว่ามีพิรุธ จึงขอทำการตรวจค้นภายในรถ พบของกลางดังกล่าว พร้อมกับให้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ไปตรวจค้นยังบ้าน แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย

ตำรวจนครปฐม จับ 3 ผู้ต้องหาลอบขนระเบิด-เครื่องกระสุน ส่งขายชายแดนเมียนมา

ผบช.ภ.7 กล่าวอีกว่า ในการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 3 คน นายวี ให้การว่า นายศักดามาขอยืมรถยนต์เพื่อเดินทางไปทำธุระที่ จ.ปทุมธานี แต่ตนเองห่วงรถจึงอาสาขับรถพานายศักดาไป ส่วนสิ่งของเครื่องกระสุนปืนนั้นไม่ทราบว่าเป็นของผิดกฎหมายเพราะอยู่ในถุงสีแดง ส่วนนายศักดารับว่าของกลางทั้งหมดเป็นของตน โดยซื้อมาจากนายต้น ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง เป็นคนปทุมธานี ติดต่อขายให้โดยให้ไปรับสินค้า ที่ริมถนนข้าง อบต.พยอม อ.วังน้อย จ.อยุธยา เมื่อไปรับแล้วจะนำไปขายต่อ ยังประเทศเพื่อนบ้านติดชายแดน จ.กาญจนบุรี ส่วนนายบุญเจิด ให้การปฏิเสธเพราะนั่งรถมาเป็นเพื่อนนายวีคนขับรถและเป็นเจ้าของรถ

พล.ต.ท.ธนายุตม์ กล่าวด้วยว่า สำหรับคำให้การของผู้ต้องหาทั้ง 3 คน นั้นตำรวจไม่เชื่อในคำให้การ ขณะนี้ได้สั่งการให้ ตร.ชุดสืบสวนทั้งภาค 7 สอบสวน ภ.จว.นครปฐม และสืบสวน สภ.เมืองนครปฐม สืบขยายผลถึงที่มาที่ไปของเครื่องกระสุนและวัตถุระเบิดที่จับได้ พร้อมตรวจสอบนำเบอร์ของระเบิดด้วยว่า ออกมาจากแหล่งใดหรือถูกลักขโมยมา พร้อมให้สอบประวัติละเอียด เพราะเรื่องอาวุธปืนนั้นน่าจะเป็นขบวนการค้าอาวุธข้ามชาติ ที่ทำกันเป็นขบวนการ ต้องขยายผลให้ได้โดยเร็ว เพราะถือเป็นเรื่องความมั่นคง และต้องสอบประวัติของคนร้ายที่จับกุมได้อย่างละเอียดว่า เคยค้าอาวุธเช่นนี้มากี่ครั้ง ส่งไปที่ใดบ้าง.