สื่อหลายเจ้าของสหรัฐฯ เผย ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในอัฟกานิสถานของสหรัฐฯ เมื่อปลายเดือนสิงหาคม ถูกเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์เสียชีวิต ไม่ใช่นักรบไอซิสตามที่กองทัพบอก
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2564 กองทัพสหรัฐฯ ส่งโดรน ‘รีเปอร์’ (Reaper) ยิงจรวด ‘เฮลล์ไฟร์’ (Hellfire) ใส่รถยนต์คันหนึ่งซึ่งพวกเขาระบุว่า ติดตั้งระเบิดเพื่อการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม หรือ ไอซิส นั้น
ล่าสุดในวันที่ 11 ก.ย. 2564 สื่อใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง นิวยอร์กไทมส์ และวอชิงตันโพสต์ ออกมาแสดงความกังขาในคำกล่าวอ้างของกองทัพสหรัฐฯ โดยระบุว่า พวกเขาได้ดำเนินการสืบสวน วิเคราะห์หลักฐานวิดีโอและรูปถ่าย, พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญและพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ทำให้พวกเขาได้ข้อสรุปว่า ไม่มีระเบิดที่รถคันดังกล่าวแต่อย่างใด
กองทัพสหรัฐฯ ยอมรับว่า ไม่รู้ว่าชายที่ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีเป็นใครก่อนหน้าที่จะเกิดการโจมตีขึ้น แต่เชื่อว่าชายคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มติดอาวุธสาขาของกลุ่มไอซิสในอัฟกานิสถาน
อย่างไรก็ตาม นิวยอร์กไทมส์ และวอชิงตันโพสต์ ยืนยันว่า ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีคือ เอซมาไร อาห์มาดี อายุ 43 ปี ซึ่งทำงานให้กับองค์กรบรรเทาทุกข์ของสหรัฐฯ ชื่อว่า องค์กรการศึกษาและโภชนาการระหว่างประเทศ (NEI) และกำลังอยู่ในกระบวนการยื่นเรื่องเพื่อขอตั้งรกรากใหม่ในสหรัฐฯ
นิวยอร์กไทมส์ระบุด้วยว่า กองทัพสหรัฐฯ เชื่อว่า พวกเขาติดตามรถยนต์ซีดานคันหนึ่งจากบ้านที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มไอซิส โดยดักฟังการสื่อสาร และพบการหยุดรถที่น่าสงสัยเพื่อรับส่งสิ่งของหลายครั้ง หนึ่งในนั้นเป็นของที่มีน้ำหนักมากและอาจเป็นระเบิด
แต่จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด นิวยอร์กไทมส์พบว่านายอาห์มาดีไปรับคอมพิวเตอร์แลปท็อปและน้ำดื่มขวด ท่ามกลางสถานการณ์ขาดแคลนน้ำในอัฟกานิสถาน ซึ่งเพื่อนร่วมงานของนายอาห์มาดีบอกว่า เป็นกิจวัตรปกติ ก่อนจะที่โดรนของสหรัฐฯ จะโจมตีเขาซึ่งกำลังคุยกับชายอีกคนหนึ่ง ทำให้สมาชิกครอบครัวที่รวมตัวบริเวณนั้นเสียชีวิตถึง 10 ศพ รวมทั้งเด็กอายุเพียง 2 ขวบ
นายสตีเวน ควอน ประธานองค์กร NEI บอกกับวอชิงตันโพสต์ยืนยันว่า องค์กรของพวกเขาเป็นเจ้าของรถซีดาน โตโยต้า สีขาวที่ถูกโจมตี และพวกเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มไอซิส ขณะที่วอชิงตันโพสต์ รายงานเช่นกันว่า ในวันต่อมากลุ่มไอซิสออกมายอมรับว่า นักรบของกลุ่มยิงจรวดโจมตีจากรถโตโยต้าสีขาว คล้ายกับรถของนายอาห์มาดีด้วย
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ พยายามตอบโต้ข้อครหาด้วยการบอกว่า ระเบิดอีกครั้งที่เกิดหลังจากการโจมตีของโดรน แสดงให้เห็นว่ามีระเบิดอยู่ในรถซีดานคันนี้ แต่นิวยอร์กไทม์สกับวอชิงตันโพสต์ระบุว่า หลักฐานนี้ไม่มีน้ำหนักพอ และมีความเป็นไปได้เช่นกันที่ระเบิดครั้งที่ 2 จะเป็นการระเบิดของถังเชื้อเพลิงรถเอง
ทั้งนี้ กองทัพสหรัฐฯ จะไม่เปิดเผยรายงานฉบับเต็มเกี่ยวกับการโจมตีดังกล่าว โดยนาย จอห์น เคอร์บี โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าวว่า กองบัญชาการกลางสหรัฐฯ กำลังประเมินข้อมูลเกี่ยวกับการโจมตี แต่การโจมตีดังกล่าวมีพื้นฐานจากการข่าวกรองที่ดี และพวกเขายังเชื่อว่า กองทัพได้ป้องกันภัยคุกคามที่ดาจจะเกิดขึ้นต่อสนามบินคาบูล และต่อประชาชนของสหรัฐฯ