พรรคร่วมฝ่ายค้าน ประกาศโค่น “บิ๊กตู่” และพวก จองกฐิน ยื่นซักฟอก 6 รัฐมนตรี เหตุ แก้โควิด-19 ล้มเหลว ทำคนเจ็บป่วยคนตายพุ่ง
วันที่ 16 ส.ค. 64 นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยตัวแทนจากพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้แก่ พรรคเพื่อชาติ พรรคประชาชาติ พรรคพลังปวงชนไทย พรรคเสรีรวมไทย และพรรคก้าวไกล ร่วมกันยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยมีรัฐมนตรีที่จะถูกยื่นอภิปรายทั้งหมด 6 คน ได้แก่
1. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
2. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
3. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
4. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
5. นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
6. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
โดยพลเอกประยุทธ์ เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิปัญญา ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ไร้คุณธรรมจริยธรรม และไร้ความสามารถที่จะเป็นผู้นำประเทศ บริหารราชการแผ่นดินเกิดความล้มเหลว โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองต้องประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2563 ได้รวมศูนย์อำนาจ รวบอำนาจตามกฎหมายต่างๆ ถึง 40 ฉบับ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและไม่สุจริต การกลายพันธุ์ของโรคติดเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้เพียงระยะเวลา 4 เดือนเศษ มีผู้ติดเชื้อเกือบ 900,000 คน และเสียชีวิตกว่า 7,000 คน ในขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตรายวันก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนสถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์มีไม่เพียงพอที่จะรับรักษาผู้ป่วย “ระบบสาธารณสุขไทยล้มเหลว” เกินขีดความสามารถในการบริการประชาชน หากปล่อยให้พลเอกประยุทธ์ บริหารราชการแผ่นดินต่อไป จะทำให้ประชาชนติดเชื้อและเสียชีวิตมากยิ่งขึ้น จนไม่สามารถหาสถานที่ฌาปนกิจได้ทันและเพียงพอ ไม่มีหนทางที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขาดซึ่งองค์ความรู้ ไร้ซึ่งภูมิปัญญาและความสามารถในการกำกับดูแลงานด้านสาธารณสุขของประเทศ มีพฤติกรรมคุยโม้โอ้อวด ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หลอกลวงประชาชน
ขาดสติปัญญา ประเมินความรุนแรงและผลกระทบของโรคนี้ผิดพลาดอย่างร้ายแรง โดยเห็นว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดาเป็นและหายได้เอง ประเมินว่าเป็นโรคกระจอก จึงปล่อยปละละเลยในการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขและมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโดยเฉพาะวัคซีน จนทำให้การแพร่ระบาดของโรคเป็นไปอย่างรวดเร็ว หากปล่อยให้นายอนุทิน ดำรงตำแหน่งต่อไป จะทำให้การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นและไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงเมื่อใด ชีวิตของพี่น้องประชาชนแขวนอยู่บนเส้นด้าย ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจะมีเพิ่มมากขึ้น
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิปัญญาและไร้ความรู้ความสามารถที่จะบริหารราชการของกระทรวงแรงงาน ทำให้ผู้ใช้แรงงานได้รับผลกระทบทั้งระบบ ปล่อยปละละเลยให้แรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายปะปนอยู่ในระบบแรงงาน และเกิดการแสวงหาประโยชน์จากแรงงานผิดกฎหมายดังกล่าว จนเป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ประพฤติตัวเสเพลไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมโรค เข้าไปในแหล่งอบายมุขจนเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของโรค โควิด-19 ไปทั่วประเทศจนถึงปัจจุบัน ขาดจิตสำนึกรับผิดชอบ มุ่งแต่แสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของตน
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิปัญญาและไร้ความสามารถในการบริหารงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำให้การบริหารงานด้านการเกษตรล้มเหลวทั้งระบบ เข้าไปมีส่วนได้เสียในการเรียกรับผลประโยชน์จากโครงการของหน่วยงานที่ตนกำกับดูแล ไม่ปกป้องรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จงใจเบียดบังเอาทรัพยากรของชาติไปให้พวกพ้องตนเอง ปล่อยปละละเลยให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคในสัตว์ ทั้งวัวและสุกร จนส่งผลเสียหายแก่เกษตรกรจำนวนมาก ขณะที่มาตรการชดเชยเยียวยาแก่เกษตรกรไม่ทั่วถึงและเพียงพอ
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีพฤติการณ์จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ใช้ตำแหน่งหน้าที่และสื่อของรัฐเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงและสร้างความแตกแยกในสังคม ทำลายบรรทัดฐานอันดีของสังคม มุ่งประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
นายสมพงษ์ กล่าวว่า ความล้มเหลวของรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์โควิด-19 เป็นเรื่องเร่งด่วน ที่ประธานสภาควรต้องเร่งหารือกับฝ่ายบริหารเพื่อบรรจุเข้าไปเป็นวาระในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยเร็ว ซึ่งการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในครั้งนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้าน เน้นที่การอภิปรายความผิดพลาดของรัฐบาล ใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การบริหารเศรษฐกิจที่ล้มเหลว และพฤติกรรมการทุจริต แม้มีการเสนอชื่อรัฐมนตรีคนอื่นๆ เข้ามา แต่พรรคร่วมฝ่ายค้านทั้งหมดมีความเห็นร่วมกันที่จะอภิปรายเปิดเผยข้อมูลความผิดพลาดของรัฐมนตรีทั้ง 6 คนซึ่งมีความรับผิดชอบโดยตรงต่อสถานการณ์โควิด-19 โดยมีพลเอกประยุทธ์เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด
“ฝากไปถึงพี่น้องประชาชน ขอให้ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ ฟังการชี้แจงของรัฐมนตรีทั้ง 6 คนว่า บุคคลเหล่านั้นเห็นแก่ใคร เห็นแก่พี่น้องประชาชนที่ล้มตายหรือไม่ ผมขอร้องให้ทุกคนตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งหน้า การบริหารราชการที่ผิดพลาดล้มเหลวในครั้งนี้ถือว่าร้ายแรงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรสุดไปมากกว่านี้ ส่วน ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ผมขอให้คำนึงถึงประชาชนด้วย” นายสมพงษ์ กล่าว.