ที่ประชุมศูนย์ ศบค.ปลดล็อกถอดหน้ากากอนามัยได้ในบางสถานที่ตามความสมัครใจ เริ่ม 1 กรกฎาคม 2565 แต่เมื่อเข้าไปในพื้นที่แออัด หรือการจัดงานใหญ่อาจขอความร่วมมือให้ใส่ไว้ก่อน
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณโควิด-19 (ศบค.) ปลดล็อกให้สามารถการถอดหน้ากากอนามัยได้ในบางสถานที่ตามความสมัครใจ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 โดยใครที่อยู่ในพื้นที่โล่งก็ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัย หรือขึ้นอยู่กับความสมัครใจเท่านั้น
อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นอาจจะยกเว้นในกรณีเมื่อเข้าไปในพื้นที่แออัด หรือการจัดงานใหญ่ เช่น คอนเสิร์ต งานอีเวนต์ต่าง ๆ ที่มีคนเกิน 2,000 คน ก็อาจขอความร่วมมือใส่หน้ากากอนามัยก่อน เพื่อป้องกันความปลอดภัยเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ขณะเดียวกันที่ประชุมศบค. ยังเห็นชอบการปลดล็อกการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เฉพาะในพื้นที่โรงแรมต่าง ๆ ทั่วประเทศ ในช่วงเวลาตั้งแต่ 14.00 – 17.00 น. เริ่ม 1 กรกฎาคม 2565
“ที่ประชุมได้อนุมัติให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลาดังกล่าวได้ เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว เช่น ถ้านักท่องเที่ยวเล่นน้ำอยู่ในโรงแรม พอถึงเวลาบ่าย 2 หยุดขาย ก็คงไม่ส่งผลดีนัก จึงได้ขอให้ปลดล็อกเรื่องนี้ รวมไปถึงการปลดล็อกการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้ถึงตี 2 ตามกฎหมายด้วย” นายพิพัฒน์ ระบุ
ทั้งนี้ยังเห็นชอบให้ยกเลิกการลงทะเบียนในระบบ Thailand Pass ซึ่งกำหนดให้แจ้งข้อมูลหนังสือเดินทาง และการทำประกันสุขภาพ และยกเว้นการกรอกรายการของคนต่างด้าวซึ่งเดินทางเข้าในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร (แบบ ต.ม.6) ที่เดินทางมาทางอากาศ สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เริ่ม 1 กรกฎาคม 2565
ส่วนการเสนอขอยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าเป็นระยะเวลา 6 เดือน (1 ก.ค-31 ธ.ค. 65) และขยายเวลาระยะเวลาพำนักของ Tourist Visa จาก 30 วัน เป็น 45 วัน รวมทั้ง ผ.30 เป็น ผ.45 และ Visa on Arrival (VOA) จาก 15 วัน เป็น 45 วัน ตามข้อเสนอของเอกชน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเพิ่มวันพำนักในไทยนานขึ้นนั้น ยังไม่ได้นำเข้ามาหารือใน ศบค. ครั้งนี้
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ด้วยมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมา เชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวของไทยในช่วงที่เหลือของปีได้ โดยตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไปน่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย วันละ 2.5 – 3 หมื่นคน คาดว่า หากเป็นไปตามเป้าหมายก็น่าจะทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาทั้งปีได้ไม่น้อย 7.5 ล้านคน แต่ในใจก็อยากจะเร่งผลักดันให้ได้ถึง 10 ล้านคน ซึ่งจะต้องพยายามต่อไป