สยองไทเป 2 ผัวเมียชาวไทยถูกหุ้นส่วน เพื่อนสนิทชาติเดียวกันฆ่าโหด ใช้เหล็กทุบ หมกศพยัดท้ายรถบีเอ็มดับเบิลยู จอดทิ้งหน้า สถานีรถไฟความเร็วสูงเถาหยวน ตำรวจไต้หวันสอบพบปมฆ่า ขบเหลี่ยมธุรกิจเงินกู้ให้แรงงานชาวไทย ส่วนคนร้ายหลังก่อเหตุบินกลับประเทศ สลดคนตายตั้งท้องแฝดได้ 5 เดือน ขณะที่ ผบก.ตท.เผยคุยไต้หวันแล้วจะติดตามจับกุมให้ในหลักต่างตอบแทน ด้าน ผบช.ก.สั่งกองปราบฯ รวบรวมข้อมูล รอตะครุบ พ่อคนตายฝ่ายชายเศร้า เพิ่งคุยกับลูกบอกจะกลับมาเยี่ยมกลางเดือนนี้ สุดท้าย ฝากครอบครัวสะใภ้เผาศพลูกชายให้ด้วยที่ไต้หวัน เพราะติดมาตรการโควิด
ธุรกิจเงินกู้ทำคนไทยฆ่ากันเอง 2 ศพที่ไต้หวัน เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. สำนักข่าวท้องถิ่นไต้หวัน รายงานเหตุสลดสามีภรรยาชาวไทยถูกฆาตกรรมยัดศพในท้ายรถเอสยูวีหรูสีขาว ยี่ห้อ BMW X 4 ทิ้งไว้ในลานจอดรถหน้าสถานีรถไฟความเร็วสูง เถาหยวน เลขที่ 26 ถนนเหยี่ยนโซ่ว เขตถูเฉิง เมืองซินเป่ย ทางตะวันตกของกรุงไทเป สภาพศพทั้งคู่พบบาดแผลหลายแห่งที่ศีรษะและตามร่างกาย ถูกทำร้ายหลายครั้งด้วยแท่งเหล็ก และพบด้วยว่าศพผู้หญิงกำลังตั้งครรภ์ลูกแฝดได้ประมาณ 5 เดือน เบื้องต้นพบว่าผู้ต้องสงสัยก่อคดีฆ่าโหดเป็นหุ้นส่วนทำธุรกิจชาวไทย และหลบหนีกลับประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. ตำรวจไต้หวันอยู่ระหว่างประสานกับทางการไทยตามล่าตัว
สำนักงานตำรวจเขตจงลี่ เมืองเถาหยวน ผู้รับผิดชอบการสืบสวนคดีเปิดเผยว่า ศพของสามีภรรยาผู้เสียชีวิตชาวไทยคู่นี้ถูกพบในท้ายรถยนต์ส่วนตัวของทั้ง 2 คน เป็นชาวไทยเชื้อสายจีน อายุอยู่ในช่วง 30-40 ปี ประกอบธุรกิจสำนักงานจัดหาแรงงานชาวไทยในเมืองนิวไทเป ทางตะวันออกของเมืองเถาหยวน และมีหุ้นส่วนคือนายหยาง ชาวไทยเชื้อสายจีน อายุ 35 ปี ผู้ต้องสงสัยก่อเหตุฆาตกรรมครั้งนี้ ทั้ง 3 คนรู้จักกันตั้งแต่อยู่ในประเทศไทย
จากการสอบสวนพบหลักฐานบ่งชี้ว่า เหตุฆาตกรรมสยองเกิดเมื่อกลางดึกวันที่ 8 มิ.ย. ผู้เสียชีวิตและผู้ต้องสงสัยทั้ง 3 คนนัดพบกันที่บ้านพักคนงานเขตถูเฉิงในเมืองนิวไทเป ก่อนมีปากเสียงกันเรื่องเงิน ทำให้นายหยางลงมือฆ่าสองสามีภรรยา นำศพยัดท้ายรถยนต์ส่วนตัวยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยูสีขาวของผู้เสียชีวิตนำไปจอดทิ้งที่จุดดังกล่าว ต่อมาตำรวจได้รับแจ้งความจากครอบครัวว่าผู้เสียหายได้หายตัวไปไม่กลับบ้านกระทั่งพบเป็นศพ
ส่วนการตรวจสอบกล้องวงจรปิดของตำรวจไต้หวัน พบว่าเมื่อเวลา 22.15 น. วันที่ 8 มิ.ย. พบผู้ตายเป็นหญิง เดินอยู่เพียงคนเดียวบนถนนเขตถูเฉิง นครนิวไทเป คาดว่าน่าจะใกล้เคียงจุดสังหาร อีกภาพบริเวณที่จอดรถหน้าสถานีรถไฟความเร็วสูง พบนายหยางขับรถของ 2 ผัวเมียมาจอดทิ้งไว้เมื่อเวลา 04.50 น. วันที่ 9 มิ.ย. จากนั้นลงจากรถแล้วเดินหนีไป ในวันเดียวกันตรวจสอบพบนายหยางขึ้นเครื่องบินจากสนามบินเถาหยวน เมื่อเวลา 10.10 น. โดยสายการบิน STARLUX เที่ยวบินที่ JX741 ถึงสนามบินสุวรรณภูมิประเทศไทย ในเวลา 12.44 น. ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีอาญา สำนักงานตำรวจไต้หวันได้ประสานหน่วยงานไทยช่วยติดตามจับกุม นำตัวกลับมาดำเนินคดี
ด้านสำนักข่าวไทเปไทมส์ รายงานอ้างการเปิดเผยของนายเฉิน ฉี เพง หัวหน้าชุดสืบสวนสำนักงานตำรวจเขตจงลี่ เมืองเถาหยวน ระบุผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คน และนายหยาง รู้จักกันเป็นเวลา 2-3 ปี ตอนอยู่ในประเทศไทย เดินทางมาศึกษามหาวิทยาลัยเทคนิคที่ไต้หวันพร้อมกัน แต่อยู่คนละแห่งไม่ได้ศึกษาสถาบันเดียวกัน ก่อนกลับประเทศไทยหลังจบการศึกษา ต่อมาปี 2554 น.ส.ลี เฟิน ฟาง 1 ในผู้ตายเดินทางกลับไต้หวัน ได้สิทธิพำนักในประเทศจากการที่มารดาถือครองสิทธิพำนักอยู่ก่อนแล้วและแต่งงานกับสามี เริ่มประกอบธุรกิจจัดหาแรงงานชาวไทย และว่าจ้างคนร้ายคือนายหยาง เป็นหุ้นส่วนเนื่องจากมีความคล่องแคล่วภาษาจีนกลางพร้อมช่วยทำเรื่องบัญชี อย่างไรก็ตาม การสอบสวนบ่งชี้ว่าเหตุขัดแย้งครั้งนี้ มาจากการที่นายหยางไม่พอใจที่ยังได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน และต้องการแบ่งผลกำไรตามสัดส่วนของบริษัทที่ร่วมหุ้นเติบโตมีรายได้มากขึ้น
ส่วนการติดตามคดีที่ประเทศไทย ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.เปิดเผยถึงคดีนี้เช่นกันว่าทราบเรื่องแล้ว เบื้องต้นสั่งให้ พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุปผาสุวรรณ รอง ผบก.ป.จัดกำลังสืบสวนเรื่องนี้ พร้อมประสานไปยังตำรวจไต้หวันเพื่อรับทราบข้อมูลต่างๆอยู่ ขณะที่ พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ กล่าวว่า สั่งให้ พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก. 3.บก.ป. และ พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4.บก.ป.ตรวจสอบเบาะแสและทำข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นรวมทั้งข้อมูลคนร้ายที่หนีกลับมาประเทศไทยไว้แล้ว แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร ทางการไทยไม่มีสนธิสัญญาเรื่องส่งผู้ร้ายข้ามแดน รวมทั้งตำรวจไต้หวันเอง ยังไม่มีการประสานเรื่องให้กับตำรวจไทย ทำได้แค่รวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมไว้ตลอดเวลา
วันเดียวกัน พล.ต.ต.เขมรินทร์ หัสศิริ ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ (ผบก.ตท.) กล่าวว่า ได้รับการประสานขอความร่วมมือในการสืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุ ได้พูดคุยเบื้องต้นกับผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจไต้หวัน ตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย. หนังสืออย่างเป็นทางการคาดว่าจะถึงในวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมาตำรวจไทยและไต้หวันมีความร่วมมือที่ดีต่อกัน หากมีการร้องขอให้ติดตามตัวผู้ก่อเหตุจะพิจารณาติดตามจับกุมให้ ในหลักต่างตอบแทน เนื่องจากไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
นายนฤทัย นินนาท ผอ.กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เผยถึงเรื่องเดียวกันว่า ได้รับรายงานเบื้องต้นจากสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทยประจำไต้หวันว่า หลังได้รับแจ้งเหตุทางตำรวจไต้หวัน นายทวีเกียรติ เจนประจักษ์ ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานฯ ได้ให้เจ้าหน้าที่ติดต่อญาติผู้เสียชีวิตที่อยู่ในไต้หวัน ให้การช่วยเหลือด้านต่างๆแล้ว สำหรับผู้เสียหายฝ่ายหญิง มีญาติสนิทอยู่ที่ไต้หวัน ส่วนฝ่ายชายได้ติดต่อญาติที่ประเทศไทยแล้วเช่นกัน พร้อมทั้งให้ติดต่อกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ เพื่อดำเนินการด้านต่างๆด้วย ส่วนด้านคดี สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทยแนะนำให้ญาติที่ประเทศไทยแจ้งความดำเนินคดีที่ประเทศไทยด้วย ส่วนที่ไต้หวันตำรวจไต้หวันกำลังดำเนินการอยู่
สำหรับ 2 สามีภรรยาผู้ตายที่ถูกหุ้นส่วนคนไทยด้วยกันฆาตกรรมสยอง ทราบชื่อต่อมาคือ นายประเสริฐ โนราษ อายุ 31 ปี ภูมิลำเนาเดิมอยู่ 153 หมู่ 1 ต.ท่าลาด อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี และ น.ส.พจนีย์ แซ่หลี่ หรือ น.ส.ลี เฟิน ฟาง อายุ 35 ปี ภูมิลำเนาเดิมอยู่ 845/2 หมู่ 10 ต.หนองบัว อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ ก่อนนี้ฝ่ายหญิงเดินทางมาศึกษาต่อที่ไต้หวัน เคยทำงานเป็นล่ามมาก่อน รู้จักกันในนาม “ล่ามมี่” ส่วนนายประเสริฐ แรงงานไทยเรียกกันว่า “เฮียมาร์ค” ทำข้าวกล่องส่งขายแรงงานไทยในโรงงานเถาหยวน ส่วนผู้ต้องสงสัยที่ปรากฏภาพคือนายสันติ ศุภอภิรดีไพลิน หรือนายหยาง อายุ 35 ปี ภูมิลำเนาเดิมอยู่ เลขที่ 321/36 หมู่ 4 ต.หนองจ๊อม อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ เป็นคนขับรถมาจอด เป็นคนที่ผู้ตายไว้ใจ ได้รับสัญชาติไต้หวันแล้วเช่นกัน และทำงานเป็นล่ามอยู่ที่ไซต์งานก่อสร้างแห่งหนึ่งที่เขตถู่เฉิง นครนิวไทเป
ที่บ้านใหม่หนองบัว ต.หนองบัว อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ น้องสาวของ “ล่ามมี่” เปิดเผยว่า พี่สาวและพี่เขยอยู่ที่ไต้หวันเป็นที่รักของเพื่อนๆ และคนไทยที่รู้จักกันในเมือง พี่สาวทำงานเป็นล่าม ทำธุรกิจเกี่ยวกับการขายอาหาร ทำกับข้าว อาหารกล่องส่งให้คนไทยที่อยู่ในโรงงานที่ประเทศไต้หวัน ตนกลับมาจากไต้หวันตั้งแต่ช่วงวันที่ 21 พ.ค. เพิ่งทราบว่าเกิดเหตุร้ายกับพี่สาว เมื่อช่วง 4 ทุ่มคืนวันที่ 9 มิ.ย. ทุกคนในครอบครัวไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์กับพี่สาว ทางครอบครัวเสียใจและอยู่ระหว่างดำเนินการต่างๆ ในส่วนของพิธีต่างๆขึ้นอยู่กับทางญาติตอนนี้อยู่ที่ประเทศไต้หวันว่าจะนำกลับหรือจัดงานศพที่ไต้หวัน ในส่วนผู้ต้องสงสัยที่ปรากฏในคลิปกล้องวงจรปิด จากการสอบถามทราบว่าเป็นเพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกัน และสนิทกับทุกคนในครอบครัวเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน หลังจากนี้จะเดินทางกลับไต้หวัน
ส่วนที่บ้านเลขที่ 153 หมู่ 1 ต.ท่าลาด อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี นายธีรศักดิ์ โนราษ อายุ 58 ปี พ่อของนายประเสริฐ หรือมาส โนราษ อายุ 32 ปี กล่าวว่า ทราบเรื่องเมื่อค่ำวันที่ 10 มิ.ย. พี่สาวของ “มี่” ภรรยาลูกชาย โทร.มาบอกถึงข่าวร้ายครั้งนี้ นายประเสริฐลูกชายเป็นคนดี เป็นเสาหลักของครอบครัว ได้ภรรยาเป็นสาวชาวไทยสัญชาติไต้หวัน ทั้งคู่ทำธุรกิจข้าวกล่องส่งให้แรงงานไทยในโรงงาน ขายผลไม้ ลอตเตอรี่ ส่งเงินมาให้เดือนละ 3,000 บาท ก่อนพบศพเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ยังได้พูดคุยกัน ลูกชายบอกว่าจะกลับมาพักที่เมืองไทยพร้อมภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์แฝด 5 เดือน ในวันที่ 15 มิ.ย. จากนั้นไม่ได้คุยกันอีกจนเกิดเหตุขึ้น ส่วนคนร้ายเป็นเพื่อนชาวไทยที่ทำงานด้วยกัน เป็นเพื่อนภรรยาลูกชาย ตนและครอบครัวไม่รู้จัก สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัดอาจจะเป็นเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัว ต้องรอดูทางไต้หวัน เพราะกำลังสอบสวนและชันสูตรศพในวันพฤหัสฯนี้
พ่อเหยื่อโหดกล่าวต่อว่า หลังชันสูตรเสร็จจะให้ญาติภรรยานายประเสริฐ ฌาปนกิจศพลูกชายที่ประเทศไต้หวันแล้วแบ่งกระดูกมาบำเพ็ญกุศล ที่บ้านเกิด จริงๆอยากเอาลูกกลับบ้าน แต่ด้วยมาตรการโควิดที่ไต้หวันจะต้องกักตัวทำให้ไม่สะดวก จึงส่งเอกสารมอบอำนาจให้ทางฝ่ายภรรยาทำการแทน ตอนนี้ยังเป็นห่วงเรื่องคดี อยากให้ทางการไทยช่วยจับคนร้ายให้ได้ หากเป็นเพื่อนที่บินกลับมาไทยจริง เพราะพฤติกรรมมันโหดร้ายเกินไป ตนและครอบครัวยังทำใจไม่ได้ แม้แต่เด็กในท้องชายหญิงอายุครรภ์เพียง 5 เดือนก็ยังไม่เว้น อยากให้ทางสถานทูตเข้ามาให้คำแนะนำดูแลเรื่องของทางคดีให้ด้วย
ขณะที่ พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จ.เชียงใหม่ เผยว่า ส่งฝ่ายสืบสวนไปที่บ้านเลขที่ 321/36 หมู่ 4 ต.หนองจ๊อม อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ที่อยู่ตามบัตรประชาชนนายสันติ พบว่าเป็นบ้านญาติที่นายสันติมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ไม่พบตัวผู้ต้องหาหรือได้รับการติดต่อมาแต่อย่างใด ตำรวจได้พูดคุยกับญาติว่าหากได้รับการติดต่อจากนายสันติให้แจ้งตำรวจทันที หรือเกลี้ยกล่อมให้เข้ามอบตัว