“หมอนิธิพัฒน์” เปรียบเทียบอาการลองโควิดระหว่าง “โอมิครอน” กับ “เดลต้า” พบว่าโอมิครอนยังมีอาการลองโควิดน้อยกว่า ชี้สิ่งสำคัญในการป้องกัน หรือ ช่วยลดอาการลองโควิด คือ การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และ การได้รับยาต้านไวรัส ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะยิ่งมีอาการป่วยรุนแรงก็จะยิ่งพบอาการลองโควิดได้ง่ายขึ้น
วันที่ 17 เม.ย.65 รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะเเพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ผ่าน ระบุว่า อาการลองโควิด (Long Covid) จากการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนเป็นสถานการณ์ที่วงการแพทย์กำลังจับตา ซึ่งอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลหลังพบการระบาดประมาณ 4 เดือน
เบื้องต้นจากข้อมูลยังสันนิษฐานได้ว่าอาการลองโควิดจากการติดเชื้อโอมิครอนจะน้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้า โดยประเมินจาก 3 ปัจจัย ประกอบด้วย
1.ความรุนแรงของโรค ซึ่งพบว่าโอมิครอนรุนแรงน้อยกว่าเดลต้าประมาณ 5 -10 เท่า ส่งผลต่อจำนวนผู้ป่วยหนัก เสียชีวิต ในสัดส่วนที่มีอัตราต่ำกว่า
2.การฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งจากข้อมูลทั้งในไทย และ ต่างประเทศ พบว่าอาการติดเชื้อของผู้ฉีดวัคซีนจะน้อยกว่าผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีน
3.มีการใช้ยาต้านไวรัสเพิ่มขึ้นในช่วงโอมิครอนระบาด ซึ่งแพทย์คาดการณ์ว่าให้ยาเร็วอาจจะมีส่วนช่วยอาการลองโควิดน้อยลง
ทั้งนี้ ปัจจัยที่จะระบุว่าผู้ป่วยเกิดอาการลองโควิดหรือไม่ คือกรณีที่ผู้ป่วยยังมีอาการยืดเยื้อยาวนานเกิน 3 เดือน โดยตัวชี้ขาดขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของร่างกาย และ ความพร้อมทางด้านจิตใจ
สิ่งสำคัญในการป้องกัน หรือ ลดอาการลองโควิด คือ การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และการได้รับยาต้านไวรัสในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะยิ่งมีอาการป่วยรุนแรงก็จะยิ่งพบอาการลองโควิดได้ง่ายขึ้น
รศ.นพ.นิธิพัฒน์ ยังประเมินด้วยว่า สถานการณ์ปัจจุบันตัวเลขผู้ป่วยอาการปอดอักเสบรุนแรงประมาณ 2,000 กว่าคน หากยอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นไปถึง 2,500-3,000 คน จะทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจะขึ้นไปถึง 150-200 คนต่อวัน
และยังส่งผลต่อศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยในภาพรวม เพราะปัจจุบันการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิดต้องใช้ศักยภาพของการรักษาราวร้อยละ 15 จากการรักษาโรคทั้งหมด ถ้ายอดติดเชื้อเพิ่มก็จะมีการดึงศักยภาพการรักษาเพิ่มขึ้น ซึ่งพบว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในต่างจังหวัดเริ่มมีปัญหาในการดูแลรักษาคนไข้แล้ว.
ภาพจาก แฟ้มภาพ AFP