ก้าวไกล เปิดหลักฐานใหม่ คดี “ศักดิ์สยาม” ซุกหุ้น จ่อยื่น ป.ป.ช. ตรวจสอบวันนี้ ยันไม่กระทบจัดตั้ง รบ.เพื่อไทย ชี้เป็นการทำหน้าที่ตามปกติ
นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงความคืบหน้ากรณีคดีความที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมเคยยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อปี 2565 ขอให้ตรวจสอบว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อาจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช. หรือไม่ ซึ่งในครั้งนั้น ร่างคำร้องได้พุ่งเป้าไปที่การคงอยู่ซึ่งความเป็นเจ้าของของศักดิ์สยามในห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น
หลังจากตรวจสอบเอกสารทั้งหมด ทำให้พบว่ามีจุดพิรุธอยู่หลายแห่ง เป็นที่มาของการแถลงข่าวในวันนี้ และหลังจากจบแถลงข่าว จะเดินทางไปที่สำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อยื่นคำร้องเพิ่มเติมเนื่องจาก พบหลักฐานใหม่ว่านายศักดิ์สยาม ยังมีหนี้สินคงค้าง กับห้างหุ้นส่วนแห่งนี้ ในวันที่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี และไม่ได้เปิดเผยในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.
คำถามต่อไปคือ มีการชำระหนี้เงินกู้คืนเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2562 ก่อนที่จะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน อย่างที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่ เพราะในเมื่องบการเงินของ หจก. สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ระบุชัดว่า ยังมีเงินให้หุ้นส่วนผู้จัดการกู้ยืมคงค้างอยู่ 38 ล้านบาท หลังจากนั้นยอดหนี้สินนี้จึงถูกปิดลงเหลือ 0 บาทในงบการเงินสิ้นปี 2563
นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า การตรวจสอบบัญชี การปิดงบการเงินนั้น จำเป็นต้องสอดคล้องกับเอกสาร ทางการเงินและยอดเงินในบัญชีทั้งหมดของ หจก. เพราะเป็นเอกสารที่จำเป็นต้องยื่นต่อหน่วยงานราชการตามกฎหมาย จึงมีความน่าเชื่อถือมากกว่า ดังนั้น เป็นไปได้อย่างมากว่าศักดิ์สยามยังคงเป็นหนี้ห้างหุ้นส่วนแห่งนี้อยู่ 38 ล้านบาทในสิ้นปี 2562 และไม่ได้ยื่นในบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.
ข้อสันนิษฐานของตนคือ มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจไม่ได้มีการชำระหนี้ก้อนนี้ทั้งหมด และยังมียอดหนี้คงค้างตามในงบการเงิน จึงใช้วิธีหายอดเงินที่มีการโอนเข้า หจก. จริงๆ ซึ่งอาจเป็นธุรกรรมเพื่อการอื่น มากล่าวอ้างว่าเป็นการใช้หนี้ แต่เผอิญยอดเงินไม่ตรงกับ 69 ล้านบาทที่ปรากฏในงบการเงิน จึงต้องสร้างยอดหนี้ใหม่ที่ไม่เคยปรากฏในงบการเงินมาก่อน ทำสัญญาเงินกู้ขึ้นมา ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าสัญญาเงินกู้ที่ยอดเงินสูงขนาดนี้ มีการติดอากรแสตมป์ที่จะมีวันที่ประทับเพื่อให้มีผลทางกฎหมายอย่างเป็นทางการหรือไม่
“ผมขอเน้นย้ำว่านี่เป็นการสันนิษฐานถึงความเป็นไปได้จากข้อพิรุธที่พบตามเอกสาร ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่จะสืบสวนติดตามเอกสารต่างๆ และตรวจสอบเรื่องนี้ตามคำร้องต่อไป” นายปกรณ์วุฒิกล่าว
นายปกรณ์วุฒิ ยังระบุเพิ่มเติมถึงข้อพิรุธที่พบในเอกสารชี้แจงที่นายศักดิ์สยามส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ เช่นประเด็นการคงอยู่ซึ่งความเป็นเจ้าของ หจก. บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ศักดิ์สยามได้ขอเอกสารจาก หจก. เป็นเอกสารใบรับวางบิลซึ่งมีเอกสารตั้งแต่ปี 2561-2564 เป็นความพยายามที่จะบอกว่านี่เป็นหลักฐานว่าหุ้นส่วนผู้จัดการคนใหม่ เข้ามาควบคุมกิจการเซ็นเอกสารตั้งแต่ต้นปี 2561 ตามที่ได้มีการโอนหุ้นออกไปแล้วจริงๆ
ทั้งนี้ ในกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญ ตัวแทนผู้ร้องคือตน และ พ.ต.อ. ทวี ได้ยื่นรายชื่อพยานบุคคลทั้งหมด 22 คนและรายชื่อพยานเอกสาร 19 รายการ ที่จะขอให้ศาลฯ เรียกเพื่อชี้ข้อพิรุธและหักล้างคำชี้แจงดังกล่าวของศักดิ์สยามผู้ถูกร้อง
นอกจากนี้ ทีมงานของ พ.ต.อ. ทวี ซึ่งเป็นหนึ่งในรายชื่อบัญชีพยานบุคคล ได้พบรายการเดินบัญชีของศักดิ์สยามรวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 27 บัญชีที่มีความผิดปกติ โดยทีมงานคนนี้ได้ยื่นเอกสารในการชี้เบาะแสของผู้ที่น่าจะเชื่อว่าร่วมกันกระทำผิดฐานฟอกเงินที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)
นายปกรณ์วุฒิ ทิ้งท้ายว่า ขอเรียกร้องไปยังองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ ที่กำลังพิจารณาเรื่องนี้ ทั้งในแง่กระบวนการที่จำเป็นต้องดำเนินการให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.กำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. 2565 รวมถึงมาตรฐานในการทำงานที่กำลังถูกสังคมจับจ้องและตั้งคำถามว่า จะถูกหรือผิด เร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับผู้ถูกร้องอยู่ฝ่ายไหนหรือไม่
พร้อมย้ำว่า การเปิดเผยในวันนี้จะเกี่ยวกับการที่พรรคเพื่อไทยมีการออกมาบอกว่าจะให้พรรคที่สามเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิระบุว่า ตนได้รับทราบว่ามีเอกสารนี้เมื่อประมาณ 4 สัปดาห์ที่แล้ว แต่เนื่องจากภารกิจ มีเวลาตรวจสอบเอกสารเมื่อประมาณ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จึงได้มาตรวจสอบเอกสาร และแจ้งกับทางพรรค ทางพรรคคบอกว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องรอเพราะเป็นเรื่องต่อเนื่องที่เราเคยทำมาแล้ว อีกประการคือการที่เรารอ เราก็ไม่รู้ว่าสองเรื่อวที่เรายื่นเอาไว้จะมีความคืบหน้าอะไรบ้าง จึงจำเป็นต้องยื่นเลย
ส่วนจะกระทบการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่เพราะตอนนี้พรรคเพื่อไทยก็กำลังขอเสียงจากพรรคภูมิใจไทยอยู่นั้น นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า มองว่าเป็นการทำหน้าที่ตามปกติ เพราะตน เป็นคนออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และเป็นผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจในเรื่องดังกล่าว และเป็นผู้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญและป.ป.ช. ด้วยตนเอง ดังนั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไม่ทำ ส่วนการร่วมรัฐบาลหนือไม่ร่วมรัฐบาล ตนคิดว่าเรามีความชัดเจนตามที่ได้เคยประกาศ ต่อให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกลก็จะทำการตรวจสอบรัฐมนตรีทุกคน ไม่เว้นแม้แต่รัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล และความซื่อสัตย์สุจริตก็เป็นหนึ่งใน MOU ของ 8 พรรคร่วม
เมื่อถามว่าการออกมาเปิดเผยในวันนี้เป็นการสื่อว่าจะไม่เอาพรรคภูมิใจไทยใช่หรือไม่ นายปกรณ์วุฒิระบุว่า ไม่ใช่ อย่างที่เคยยอกไปแล้วว่าเราจะร่วมหรือไม่ร่วม ในท้ายที่สุดเราก็ต้องทำงานตรวจสอบพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงพรรคตนเองว่าผู้ที่เข้าไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมีพฤติกรรมดีหรือไม่ ซึ่งคิดว่าเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกัน ส่วนการเจรจาตอนนี้เป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทย และเป็นหน้าที่ของทีมเจรจาพรรคก้าวไกลซึ่งตนไม่ได้อยู่
ขอขอบคุณ
ข้อมูล :Nutcha Nilloung