“โค้งสุดท้าย” หรือ “ไม้ที่ 3” ของการวิ่งแข่งเข้าสู่เส้นชัยของการหาเสียงในการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร ในครั้งนี้ โดยเฉพาะ “สมรภูมิ” ของจังหวัดสงขลา ที่มีเขตเลือกตั้งรวม 9 เขต
ซึ่งทุกเขตเลือกตั้งไม่มี “พรรคการเมืองไหน” ที่จะได้กินหมู เพราะในทุกเขตเลือกตั้งผู้สมัคร และพรรคการเมือง ทุกพรรคต่างสู้กันถึงฎีกา ไม่มีใครยอม “เกี๊ยเซียะ” ให้กับใคร มีแต่การสู้แบบถวายหัวในทุกเขตเลือกตั้ง
สำหรับ “ประชาธิปัตย์” ต้องการที่จะกลับมา “ยิ่งใหญ่” อีกครั้งใน “สนามการเมือง” ของ “สงขลา” เพราะ “ประชาธิปัตย์” มีอดีตที่ “ยิ่งใหญ่” เลือกตั้งใน “สงขลา” ต้องยกจังหวัดมาโดยตลอด
การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ที่ “ประชาธิปัตย์” ต้อง “พ่ายแพ้” อย่าง “หมดรูป” เพราะ “สูญเสีย” ที่นั่งให้กับพรรคเกิดใหม่ อย่าง “พลังประชารัฐ” ที่ถูกมองว่าเป็นพรรค “เฉพาะกิจ” และพรรคภูมิใจไทย ที่ถูกมองว่าเป็น “ม้านอกสายตา” ที่ทำให้ “ประชาธิปัตย์” เหลือที่นั่งเพียง 3 ที่นั่ง จากจำนวน 8 ที่นั่งด้วยกัน นั่นหมายถึงความเจ็บปวด ที่ต้องกล้ำกลืน ด้วยการรอคอยถึง 4 ปี เพื่อขอแก้มือในการเลือกตั้งครั้งใหม่ในครั้งนี้ ซึ่ง “ขุนพล” ของ “ประชาธิปัตย์” ต่างเชื่อมั่นว่า “ประชาธิปัตย์” จะกลับมายิ่งใหญ่ และจะยกจังหวัดอีกครั้ง
แต่…เมื่อการเลือกตั้งเข้าสู่โค้งสุดท้ายภาพที่ปรากฏของ “นักวิ่ง” หรือผู้สมัครที่เป็นตัวเต็งแต่ละพรรคในสนามแข่งขัน เริ่มเห็นชัดเจนว่า “ใครกำลังนำใคร” และมีปัจจัยอะไรที่เป็นการเกื้อหนุนให้ผู้สมัครพรรคไหนเป็น ส.ส.ที่ประชาชนต้องการ
โดยเฉพาะในเขตเลือกตั้งที่ 3 สงขลา ซึ่งประกอบด้วย อ.นาหม่อม ทั้งหมด ต.ทุ่งใหญ่, ต.ท่าข้าม, ต.คอหงส์ ต.บ้านพรุ ต.บ้านไร่ และ ต.พะตง อ.หาดใหญ่ ต.คลองเปียะ ต.จะโหนง อ.จะนะ ที่เป็นเขตที่มีการแข่งขันอย่างเข้มข้น ระหว่าง “ไพร พัฒโน” ซึ่งเป็นนักการเมืองรุ่นเก๋าที่อยู่ในสนามการเมืองมายาวนาน เคยเป็น ส.ส.หลายสมัยของประชาธิปัตย์ ใน จ.สงขลา เคยเป็น “นายกเทศมนตรีเทศบาลนครหาดใหญ่” หลายสมัย และโบกมือบ๊ายบาย จาก “ประชาธิปัตย์” ด้วยเหตุผลไม่มีที่จะให้หยัดยืนในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ในการเลือกตั้ง ปี 2566 “ไพร พัฒโน” จึงเปลี่ยนสีเสื้อมาเป็นผู้สมัครเขต 3 ของพรรคภูมิใจไทย
และ “คู่แข่ง” ของ “ไพร พัฒโน” ครั้งนี้ก็คือ “สมยศ พลายด้วง” (โกถึก) ของค่าย “ประชาธิปัตย์” ที่เป็นนักธุรกิจชื่อดัง และที่สำคัญ “ใจถึงพึ่งได้” โดย “โกถึก” เป็นคนพื้นเพ อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา ซึ่งอยู่ในเขตเลือกตั้งที่ 4 แต่ในการลงสมัคร ส.ส.ครั้งนี้ เลือกที่จะปักธง เพื่อการเป็น ส.ส.ในเขตเลือกตั้งที่ 3 เพราะเป็นเขตที่ “ประชาธิปัตย์” ไม่มี “ตัวแทน” เนื่องจากอดีต ส.ส.ของเขต 3 ประชาธิปัตย์ คือ “วิรัตน์ กัลยาศิริ” ได้ถึงแก่กรรม
ส่วนอดีต ส.ส. หรือ ส.ส.ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนในปี 2562 คือ “พยม พรหมเพชร” จากพลังประชารัฐ ที่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ย้ายมาอยู่ “รวมไทยสร้างชาติ” ที่มี บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “รักษาการนายกรัฐมนตรี” เป็น
โต้โผใหญ่ โดยหวังกระแส ของ “ลุงตู่” ในการได้เข้าสภาเป็น ส.ส. สมัยที่ 2
สำหรับการหาเสียงในเขตเลือกตั้งที่ 3 ในช่วง “ต้นน้ำ” หลังจากการออกสตาร์ตสายตาของทุกฝ่ายต่าง “จับจ้อง” ไปยัง “สมยศ พลายด้วง” ที่มีความพร้อมทุกอย่าง และลงพื้นที่ทำงานการเมือง รวบรวมเอาผู้นำท้องที่, ท้องถิ่น อยู่ใน “สังกัด” ได้มากกว่าผู้สมัครจากพรรค “คู่แข่ง” ซึ่งก็คือ “ภูมิใจไทย” และ “รวมไทยสร้างชาติ” ด้วย “สโลแกน” ใจถึงพึ่งได้ ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า “สมยศ พลายด้วง” คือผู้ที่จะได้รับเลือกให้เป็น ส.ส. ในเขต 3 ค่อนข้างชัวร์
แต่…หลังจากที่ “ไพร พัฒโน” และทีมงาน ลงพื้นที่ในการพบปะ “ประชาชน” ในรูปแบบการเข้าถึง “ชาวบ้าน” เข้าถึงจิตใจและปัญหาของคนในพื้นที่ และอาศัยความเป็น “ไพร พัฒโน” ที่เคยเป็น อดีต ส.ส.ในเขตนี้มาก่อน รวมทั้ง “ไหว พัฒโน” ผู้เป็น “บิดา” ของ “ไพร” ก็เคยเป็น ส.ส.ในเขตนี้เช่นกัน ดังนั้น “สายสัมพันธ์” ของคนในพื้นที่กับ “ไพร” จึงมี “เยื่อใย” ที่มากกว่าผู้สมัครที่เป็น “คู่แข่ง” ที่ยังถูกมองว่าเป็นคนถิ่นอื่นรวมทั้งประสบการณ์ทางการเมืองที่ “ยาวนาน” ของ “ไพร พัฒโน” ทำให้อ่านเกมการเมืองออก และแก้ไขสถานการณ์ของการแข่งขันได้ดีกว่า
แต่…หลังจากที่โพลจากหลายสำนัก ทั้งจาก “สื่อระดับชาติ” และจากหน่วยงานความมั่นคง ถูกเผยแพร่ออกมาสู่ “สาธารณะ” ที่ปรากฏว่า “ไพร พัฒโน” มีคะแนนมาที่ 1 “สมยศ พลายด้วง” มาเป็นที่ 2 และ “พยม พรหมเพชร” มาเป็นที่ 3 ยิ่งทำให้กระแสของ “ไพร พัฒโน” ถูกกล่าวขวัญจากคนในพื้นที่ ทำให้คะแนนนิยมของ “ไพร พัฒโน” เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเกจิทางการเมืองต่างเชื่อว่าถ้า “ไพร พัฒโน” สามารถรักษากระแสเอาไว้ได้ “ไพร พัฒโน” ผู้สมัครจากพรรคภูมิใจไทย ได้หวนคืนสู่ “สภาผู้แทนราษฎร” มีโอกาสที่ “สดใสแวววาว” ยิ่งนัก
ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า “ไพร พัฒโน” จะรักษากระแสของผู้สมัครที่มีคะแนนมาเป็นอันดับ 1 ได้อย่างไร ผู้สมัครที่เป็นคู่แข่งที่มีความพร้อมทุกอย่างจะ “แก้เกม” เพื่อสร้างกระแส และ “คะแนนนิยม” เพื่อการขึ้นมาเป็นผู้สมัครที่มีคะแนนเป็นอันดับ 1 อย่างไร รวมทั้งจะเป็นการพิสูจน์ว่า “โพล” ที่เป็นการสำรวจจาก “หลายสำนัก” เชื่อถือได้หรือไม่
แต่สำหรับ “ไพร พัฒโน” นั้น ถือว่า “ผลโพล” ที่ออกมาเป็นบวก ก็ทำให้ขบวนการจัดการในการเดินหน้า เพื่อเข้าถึง “ชาวบ้าน” เป็นไปอย่าง “ฮึกเหิม” มากกว่าเดิม เพราะจากข้อเท็จจริงของคนในพื้นที่ซึ่งไม่เกี่ยวกับ “ผลโพล” ยังพบว่ามีอีกหลายพื้นที่
ที่คะแนนเสียงของ “ไพร พัฒโน” ยัง “พ่ายแพ้” คู่แข่งอยู่ และแม้แต่ในเขตเทศบาลเมืองคอหงส์ ที่เป็น “เขตเมือง” ของ “หาดใหญ่” คะแนนนิยมของ “ไพร พัฒโน” ยัง “สูสี” กับคู่แข่งคนสำคัญ
แต่…จากคะแนนนิยม และจาก “ผลโพล” ที่ระบุว่า “ไพร พัฒโน” มีคะแนนนำ ก็น่าจะทำให้ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” (โกเกี๊ยะ”) แม่ทัพใหม่ของ “ภูมิใจไทย” ใน “ภาคใต้” หายใจได้ “โล่งขึ้น” เพราะมั่นใจว่า น่าจะ “ปักธง” ของ “ภูมิใจไทย” ได้แล้ว 2 เขต คือ “เขต 7 สงขลา” ที่ “ผลโพล” ระบุว่า “ณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ” อดีต ส.ส.ของพรรค มีคะแนนนำ “ศิริโชค โสภา” ที่เป็นคู่แข่งจาก “ประชาธิปัตย์” และ “ไพร พัฒโน” ที่มีคะแนนนำ “สมยศ พลายด้วง” ส่วนเขตอื่น ๆ อีก 2 เขตของ จ.สงขลา “ประชาธิปัตย์” ก็ยังประมาทผู้สมัครของภูมิใจไทยไม่ได้เช่นกัน
และที่สำคัญ การเลือกตั้งใน จ.สงขลา ครั้งนี้ คือจะได้เห็นการแก้เกม ของ “ประชาธิปัตย์” ที่ถูกมะรุมมะตุ้มจากพรรคการเมืองใหญ่ อย่าง “รวมไทยสร้างชาติ, พลังประชารัฐ, ภูมิใจไทย, ชาติพัฒนากล้า ที่มีความพร้อมในการแย่งชิง ส.ส.เขต จากประชาธิปัตย์ และยังมีก้าวไกล และเพื่อไทยที่ “แย่งชิง” คะแนน “ปาร์ตี้ลิสต์” ใน จ.สงขลา อย่างเป็นกอบเป็นกำ ทั้งหมดคือการลุ้นระทึก สำหรับประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย.