หลัง 8 พรรคการเมือง 313 เสียง ลงนามร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน ที่นำโดยพรรคก้าวไกล เพื่อเข็น “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล สู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ท่ามกลางกระแสข่าวกลเกมการเมือง ที่สามารถพลิกผันได้ตลอดเวลา
“คอลัมน์ตรวจการบ้าน” ต้องมาสนทนากับ “รังสิมันต์ โรม” โฆษก และ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ว่า รัฐบาลก้าวไกลจะเดินทางสู่ทำเนียบสำเร็จหรือไม่
โดย “รังสิมันต์ โรม” เปิดประเด็นว่า พรรคก้าวไกลต้องเดินหน้าต่อ ซึ่งในการตั้งรัฐบาลยังมีหลายส่วนที่ต้องทำ ไม่ใช่แค่ในเอ็มโอยู แต่ยังมีเรื่องการเตรียมนโยบายที่จะต้องดำเนินการต่อไป แน่นอนต้องมีการพูดคุยกันถึงเรื่องกระทรวงว่า ใครจะนั่งกระทรวงใดอย่างไรบ้าง ตามภารกิจที่ได้มีการเซ็นเอ็มโอยูร่วมกัน ไปจนถึงการพูดคุยเจรจากับทุกฝ่ายในเรื่องรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ที่ยังติดปัญหาอยู่ ตอนนี้คนที่เป็นเหมือนผู้จัดการรัฐบาล หลักๆ ของก้าวไกลก็คือ “ชัยธวัช ตุลาธน” เลขาธิการพรรคก้าวไกล ซึ่งจะเป็นเซ็นเตอร์ในการพูดคุยกับทุกคนทุกฝ่าย
@ มีหลายฝ่ายมองว่า พรรคก้าวไกลต้องถอนฟืนเรื่องมาตรา 112 ออกมาก่อน
“ผมจึงค่อนข้างเชื่อมั่นว่า ในช่วงการเปลี่ยนผ่านการเมืองครั้งนี้ คนที่เคยตัดสินใจในการปิดสวิตช์มาตรา 272 เราก็หวังให้คนเหล่านี้ยังตัดสินใจแบบเดิม เพื่อทำให้ล็อกทางการเมืองที่มันถูกใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญ ถูกปลดออกและสามารถเดินหน้าในการตั้งรัฐบาลต่อไปได้ ซึ่งเข้าใจว่าทางฝั่งรัฐบาลเดิมก็มี ฝั่ง ส.ว. ก็มี ดังนั้นผมเชื่อว่า ถ้าเรารวมคะแนนเสียงกันจริงๆ ในการที่จะปิดสวิตช์มาตรา 272 ผมคิดว่าเรามีโอกาสสูงที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้”
ถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล แต่ถ้าเข้ามาแล้วบริหารไม่ดี คุณก็ให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจ แต่ในทางกลับกัน ถ้าพรรคก้าวไกลถึงวันเลือกนายกฯ เลือกไม่ได้ ก็ต้องเลือกกันต่อไป ซึ่งพรรคก็ยืนยันคนเดิม เพราะมีคนเดียว และก็เชื่อว่าถึงที่สุดแล้ว พรรคต่างๆ ที่อาจจะมีแคนดิเดตนายกฯ ด้วย เขาก็พูดชัดว่า สนับสนุน “นายพิธา” แล้วอยู่ๆ จะมาเปลี่ยน เพียงเพราะว่า ส.ว. ไม่ให้ ผมว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ผลลัพธ์ทางการเมืองระยะยาว ไม่น่าจะเป็นผลดีต่อใคร
ทุกคนมีสิทธิที่จะคิด พรรคก้าวไกลมองการแก้ไขมาตรา 112 เป็นหนึ่งในนโยบายที่พรรคก้าวไกลจะต้องไปทำพร้อมๆ กับเรื่องอื่นๆ คือ ก้าวไกลไม่ใช่พรรคการเมืองที่บอกว่า จะทำเรื่องนี้แล้วเรื่องอื่นไม่ทำ เพราะนี่คือ 1 ใน 300 นโยบาย ที่เราต้องไปทำ สิ่งที่เราตกลงกับพรรคการเมืองต่างๆ ที่มาฟอร์มรัฐบาล ก็ตกลงกันว่า ภายใต้การลงเรือลำเดียวกันแบบนี้ ก็เห็นตรงกันว่า เราจะผลักดันเรื่องต่างๆ เท่านี้ ตามที่มีการเซ็นเอ็มโอยู แต่ว่าก็ไม่ได้ถึงขนาดปิดทางว่า จะไม่ให้มีเรื่องอื่นๆ ต่อไป แต่มาตรา 112 “นายพิธา” ตอบชัดว่า ถึงที่สุดเราก็ยังมีกลไกสภาที่จะไปพูดคุยกัน คุณจะไปห้าม รังสิมันต์ โรม ไม่ให้เข้าชื่อได้อย่างไร ก็มันเป็นสิทธิของ ส.ส. มันเป็นเอกสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ มันก็ยังมีกลไกช่องทางนี้ ที่จะยื่นเข้าไปในการที่จะแก้ไข เมื่อยื่นเข้าไป เห็นร่างวาระ 1 แล้วไม่ชอบ ก็มาคุยกันในชั้นกรรมาธิการ คุณไม่ชอบก็ส่งเสียงมา ผมไม่มีอำนาจอะไรไปปิดปากคุณ
“ยืนยันว่าการแก้มาตรา 112 ไม่ใช่การล้มสถาบันฯ การล้มสถาบันฯ คุณต้องไปแก้ที่รัฐธรรมนูญ แล้วคุณก็ต้องเอามาตราที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบของรัฐออก การแก้ 112 แล้วบอกว่าเป็นการล้างสถาบันฯ นั้น เป็นจินตนาการ ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องจริง สิ่งที่พรรคก้าวไกลจะทำ คือ การลดโทษให้เหมาะสม คือการกำหนดว่าคนที่จะมีอำนาจฟ้องจะเป็นใคร คือ การอนุญาตให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาได้พิสูจน์ว่า การวิพากษ์จารณ์ของเขาเป็นเรื่องของความสุจริตใจ ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ไม่ใช่การล้ม แต่เราต้องมองว่าการวิพากษ์วิจารณ์ของคนจำนวนมาก เขาต้องการให้เกิดสิ่งที่ดีด้วยซ้ำไป เราต้องอย่าไปจินตนาการมากเกินไป แต่ต้องใช้พื้นที่สภาที่มีกติกาของมันคอยกำกับอยู่”
@เกรงหรือไม่ว่าสุดท้ายแล้ว พรรคเพื่อไทยอาจพลิกเกมขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเอง
ผมคิดว่าวันนี้เราลงเรือลำเดียวกัน และผมก็เชื่อมั่นว่าทุกฝ่ายที่มาลงเรือลำนี้ จะทำงานอย่างเป็นมืออาชีพ แล้วผมคิดว่าสิ่งที่เรากำลังต้องการมากที่สุดในวันนี้ คือ การทำงานอย่างมืออาชีพ คือ การทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา การทำหน้าที่อย่างที่ผมคิดว่า สมกับความคาดหวังที่พี่น้องประชาชนมอบให้ ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าทุกฝ่ายที่มาลงเรือลำนี้ จะทำแบบนั้น ส่วนได้มีการเตรียมการรองรับความไม่ปกติทางการเมืองในช่วงเวลานี้หรือไม่ ผมมองว่า บางทีเราก็ควรจะอยู่กับข้อเท็จจริงตรงหน้าก่อน วันนี้ข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้ ท้ายที่สุดถ้าใครเล่นนอกเกมจะอยู่ไม่ได้
ผมมองว่าการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. มันมีความหมายมาก ดังนั้นผมเชื่อมั่นในทุกๆ พรรคที่เข้ามาลงเรือลำนี้ ว่า เราจะเดินหน้าจับมือและทำหน้าที่ของพวกเราอย่างตรงไปตรงมา วันนี้ไม่ใช่แค่ก้าวไกล แต่รวมถึงทุกพรรคที่มาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล รวมไปถึงประชาชน วันนี้ผมเชื่อมั่นว่าเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และผมเชื่อว่าจะผ่านไปได้ พรรคก้าวไกลประเมินว่า มันได้ มันสำเร็จ ผมคิดว่าผมเห็นสัญญาณความเป็นไปได้
@ หากโหวตนายกฯ จากพรรคก้าวไกลไม่สำเร็จ จะนำไปสู่การปลุกกระแสให้เกิดม็อบหรือไม่
ต้องพูดกันแฟร์ๆ เรื่องม็อบว่า พวกผมไม่ได้ไปสั่งการ วันนี้เราต้องทิ้งวิธีคิดแบบเดิมออกไป ต้องอยู่กับความจริงว่า พรรคก้าวไกล คนที่คอนโทรลจริงๆ ไม่ใช่พรรค แต่เป็นประชาชน ที่คอนโทรลก้าวไกลเสียยิ่งกว่า ดังนั้นผมอยากจะบอกเลยว่า ถ้าพี่น้องประชาชนจะออกมาชุมนุมหรือไม่ออกมาชุมนุม ไม่ใช่เรื่องของก้าวไกลที่จะไปสั่งอะไรได้ เผลอๆ ปัจจัยนี้ มันอยู่ที่การตัดสินใจของทุกฝ่ายในสังคมที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 272 ด้วยซ้ำ
ส่วนเรื่องการคดีความต่างๆ พรรคมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องข้อกฎหมายอยู่แล้ว และไม่ประมาทในเรื่องเหล่านี้ ยืนยันว่าวันนี้ การเดินหน้าของพรรคก้าวไกลในการฟอร์มรัฐบาล ยังเป็นไปอย่างที่เราอยากจะเห็นอยู่ วันนี้พรรคก้าวไกลมีสมาธิกับการจัดตั้งรัฐบาล แล้วเราก็จะพยายามมุ่งมั่นไปสู่จุดนั้น เรายังเชื่อมั่นว่านโยบายอะไรต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญในการที่จะทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด และเป็นการทำการเมืองระยะยาว ถ้าเราไม่สามารถประสบความสำเร็จในเรื่องนโยบายได้ ในอนาคตพรรคก้าวไกล ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จเช่นกัน.