ขอล้างมลทิน!! อดีตผู้การชลบุรี แจ้งจับ 13 ตำรวจ ยศตั้งแต่ “พล.ต.ต.-พ.ต.ท.” กลั่นแกล้งให้ได้รับโทษ

ฉาวต่อเนื่อง ‘พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน’ อดีตผู้การชลบุรี ขอล้างมลทิน แจ้งจับ 13 ตำรวจ ยศตั้งแต่ ‘พล.ต.ต.-พ.ต.ท.’ กลั่นแกล้งเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาคดียิงรถในพูลวิลล่า จอมเทียน เมืองพัทยา ทำให้ได้รับโทษ โดนเด้งเข้ากรุ

เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.15 น. วันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน ผู้บังคับการประจำ บช.ส. อดีต ผบก.ภ.จว.ชลบุรี เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองชลบุรี เพื่อดำเนินคดีกับข้าราชการตำรวจ ยศ พล.ต.ต.-พ.ต.ท. 13 นาย ในความผิดฐาน นำข้อความอันเป็นเท็จแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชน หรือเอกสารราชการ, เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต,

เจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น, เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดย ทุจริตนำเอาข้อความอันเป็นเท็จแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสาร ราชการ, เจ้าพนักงานตำแหน่งพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาหรือจัดการ ให้เป็นไปตามกฎหมายอาญา กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดๆ ในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบเพื่อกลั่นแกล้ง ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งต้องรับโทษ รับโทษหนักขึ้น หรือต้องถูกบังคับตามวิธีการเพื่อความปลอดภัย

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 ต.ค.2565 เวลาประมาณ 08.19 น. มีเหตุกลุ่มชายฉกรรจ์ร่วมกันทำร้ายร่างกายกลุ่มนักท่องเที่ยวหลายรายได้รับบาดเจ็บ โดยมีและใช้อาวุธปืน มีการใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์ได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่บริเวณพูลวิลล่า ถนนจอมเทียนสาย 2 หมู่ 12 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ในท้องที่ สภ.เมืองพัทยา  

หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน ในฐานะ ผบก.จว.ชลบุรี ในช่วงเวลานั้นได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่ง ภ.จว.ชลบุรี ที่ 448/2565 ลงวันที่ 19 ต.ค.2565 เรื่อง แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคดีอาญาที่ 3160/2565 ของ สภ.เมืองพัทยา คณะพนักงานสอบสวน 14 นาย โดยมี พ.ต.อ.โสฬส เอี่ยมสะอาด เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานสืบสวน 11 นาย โดยมี พ.ต.อ.กรวัฒน์ หันประดิษฐ์ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวน ตามคำสั่ง ภ.จว.ชลบุรี ที่ 448/2565 เนื่องจากเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและสื่อมวลชน

ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ต.ค.2565 ผบช.ภ.2 ได้มีคำสั่ง ภ.2 ที่ 276/2565 เรื่อง แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนรวบรวมหลักฐานและขยายผลในเรื่องดังกล่าว ประกอบด้วย “พล.ต.ต.”ชื่อย่อ อ. ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน และ “พล.ต.ต.” ชื่อย่อ ธ. ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นรองหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน “พ.ต.อ.” ชื่อย่อ ช. ผู้ต้องหาที่ 6 เป็นเลขานุการ ผู้ต้องหาที่ 3 ถึง ผู้ต้องหาที่ 8 กับพวกรวม 12 นาย เป็นพนักงานสอบสวน ทั้งยังแต่งตั้งพนักงานสืบสวนอีก 17 นาย ตามคำสั่ง ภ.2 ที่ 276/2565

นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ผู้ได้รับมอบอำนาจจาก ผบ.ตร. ลงมากำกับดูแลการสอบสวนสืบสวนและติดตามคดีด้วยตนเอง แต่ ผบ.ตร.ไม่ได้ให้อำนาจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้มีอำนาจมอบหมายสั่งการ หรือแต่งตั้งให้เจ้าพนักงานตำรวจอื่นเข้าทำการสืบสวนสอบสวนหรือติดตามคดีแทนได้ แต่ “พ.ต.อ.” ชื่อย่อ ข. ผู้ต้องหาที่ 12 และ “พ.ต.ท.” ชื่อย่อ ธ. ผู้ต้องหาที่ 13 กลับแอบอ้างว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล มอบหมายให้เข้าร่วมทำการสืบสวนสอบสวน แล้วผู้ต้องหาที่ 12 และ 13 ได้ร่วมกับ “พ.ต.อ.” ชื่อย่อ ก. ผู้ต้องหาที่ 10 และ “พ.ต.ท.” ชื่อย่อ ธ. ผู้ต้องหาที่ 11 กระทำผิดด้วยการแบ่งหน้าที่กันทำโดยมิชอบ

แจ้ง 3 ข้อหา ‘รองผู้การเมืองชลฯ’ เรียกรับผลประโยชน์ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ลั่นไม่ละเว้น

กล่าวคือเมื่อระหว่างวันที่ 19 ต.ค.2565 เป็นต้นมา วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ผู้ต้องหาที่ 12 และ 13 ได้แสดงตนว่าเป็นพนักงานสืบสวนสอบสวน ทั้งที่ไม่มีอำนาจหน้าที่นั้น โดยกระทำการสอบปากคำพยานบุคคล ซึ่งเป็นตำรวจยศ พ.ต.ต.- ด.ต. รวม 6 นาย และทำการสืบสวนสอบสวนปากคำ 3 ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดพัทยา ที่ 459/2565 ลงวันที่ 18 ต.ค.2565 ในคดีดังกล่าวข้างต้น โดยมิชอบด้วยกฎหมาย เสร็จแล้วให้ผู้ต้องหาที่ 10 และ 11 เป็นผู้ลงชื่อแทนหรือร่วมลงชื่อด้วย ในฐานะผู้สอบปากคำทั้งที่ตนเองมิได้เป็นผู้ทำการสืบสวนสอบสวน หรือร่วมอยู่ในการสืบสวนสอบสวนจริง โดยมีเจตนากลั่นแกล้ง เพื่อให้ผู้เสียหายต้องถูกดำเนินคดี และให้ได้รับโทษทางอาญาและทางวินัย ต่อจากนั้น ผู้ต้องหาที่ 10-13 ได้ร่วมกันจดแจ้งความเท็จ ด้วยการนำเสนอข้อเท็จจริงที่ได้จากการสอบสวนสืบสวนอันไม่ชอบนั้น ใช้เป็นพยานหลักฐานในการกล่าวหาดำเนินคดีอาญาต่อผู้เสียหาย

ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ต.ค.2565 เวลาประมาณ 10.00 น. ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนข้างต้น พร้อมชายอีก 2 คน ได้เข้ามาพบ พ.ต.อ.กรวัฒน์ หันประดิษฐ์ รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ผู้เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนในคดี ตามคำสั่ง ภ.จว.ชลบุรี ที่ 448/2565 ดังกล่าว ณ ที่ทำการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี โดยผู้ต้องหาคนหนึ่ง เข้ามามอบตัวตามหมายจับ ส่วนอีก 2 คน อ้างว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วย จากนั้น พ.ต.อ.กรวัฒน์ ผู้เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวน ได้รายงานให้ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ทราบ และ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น

ต่อมาในฐานะผู้บังคับบัญชาได้เข้ากำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่ง ภ.จว.ชลบุรี ที่ 448/2565 โดยทำการสืบสวนสอบสวนเป็นคณะทำงาน มีเจ้าพนักงานตำรวจำนวนหลายนายจากหลายหน่วยงาน ทั้งเข้าร่วมสืบสวนสอบสวน และเข้าร่วมสังเกตการณ์ ในจำนวนนี้มีผู้ต้องหาที่ 12 กับพวก ที่อ้างตนว่าเป็นชุดคลี่คลายคดีสำคัญ โดยรับคำสั่งจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รวมอยู่ด้วย ในระหว่างการสืบสวนสอบสวน ได้มีการตั้งข้อสังเกตจากผู้ร่วมปฏิบัติหลายนายว่า ผู้ที่มารับสมอ้างเป็นผู้ต้องหา 2 คน นั้น มีลักษณะหรืออัตลักษณ์เฉพาะตนไม่ตรงกับบุคคลในภาพวงจรปิดในที่เกิดเหตุ

คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนของ ภ.จว.ชลบุรี จึงประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานให้มาร่วมในการตรวจพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคล ทั้งการตรวจพิมพ์ลายนิ้วมือ การตรวจคราบเขม่าดินปืน และการตรวจ DNA ตรวจพิสูจน์อาวุธปืน และตรวจพิสูจน์รถยนต์ที่ใช้ในการก่อเหตุ ที่ผู้ต้องหาได้นำมามอบให้กับเจ้าพนักงานตำรวจในวันดังกล่าว เพื่อแสวงหาพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อพิสูจน์ทราบตัวบุคคลและผู้ร่วมกระทำความผิด และมีการตรวจสอบและเปิดดูภาพจากกล้องวงจรปิดในสถานที่เกิดเหตุ เพื่อเปรียบเทียบตรวจสอบยืนยันอัตลักษณ์บุคคลหลายครั้ง กับทั้งมีการซักถามผู้ที่มารับสมอ้างเป็นผู้ต้องหา 2 คน เป็นเวลานานหลายชั่วโมง ระหว่างนั้นในช่วงเวลาบ่ายของวันเดียวกันนั้น มีบุคคลเดินทางเข้ามอบตัวเพิ่มอีก 2 คน รวมเป็น 5 คน

คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนและผู้ร่วมปฏิบัติหลายนาย มีการตั้งประเด็นข้อสงสัยดังกล่าว มีการถกเถียงอย่างกว้างขวางและเปิดเผยในกลุ่มเจ้าพนักงานตำรวจที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่ ณ ขณะนั้น เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงอย่างชัดแจ้ง และเพื่อเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ผู้เสียหายได้กำชับคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนหลายครั้งหลายคราให้สอบปากคำผู้เสียหายและพยาน ซึ่งส่วนมากในขณะนั้นอยู่ที่ สภ.เมืองพัทยา ให้ปรากฎชัดว่าผู้ที่มารับสมอ้างเป็นผู้ต้องหาทั้ง 2 คนนั้น เป็นผู้ต้องหาที่ร่วมก่อเหตุจริงหรือไม่ อย่างไร มีใครเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดบ้าง หากพบว่าผู้ที่มารับสมอ้างเป็นผู้ต้องหา ทั้งที่มิใช่ผู้ต้องหาที่แท้จริง ต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน และข้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วย ซึ่งทั้งหมดนั้นถือเป็นขั้นตอนตามกระบวนการสืบสวนสอบสวนตามกฎหมาย ภายใต้อำนาจหน้าที่ของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่ง ภ.จว.ชลบุรี ที่ 448/2565 ดังกล่าวทั้งสิ้น และเพื่อให้การดำเนินการสืบสวนสอบสวนอันเป็นการปฏิบัติราชการตามขั้นตอนของกฎหมายให้สัมฤทธิ์ผล โปร่งใส และเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และมูลความผิดหลักอยู่ในท้องที่ สภ.เมืองพัทยา คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่ง ภ.จว.ชลบุรี ที่ 448/2565 จึงได้ส่งตัวผู้ต้องหาและผู้รับสมอ้างเป็นผู้ต้องหาทั้งหมดไปยัง สภ.เมืองพัทยา เพื่อให้ผู้เสียหายและพยานชี้ตัวและสอบสวนปากคำ ผู้เสียหายและพยานเพื่อพิสูจน์ทราบตัวบุคคลและพิสูจน์ทราบการกระทำความผิด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และดำเนินการสืบสวนสอบสวนให้เป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการของกฎหมาย

หลังจากพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา ได้ดำเนินการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ต.ค.2565 เจ้าพนักงานตำรวจ สภ.เมืองพัทยา จึงได้ส่งตัวผู้ต้องหารวม 4 คน ไปให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองชลบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย หาใช่เป็นการดำเนินการของ “พ.ต.อ.” ชื่อย่อ ข. หรือ ผู้ต้องหาที่ 12 กับพวก ตามที่คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนของ ภ.2 กล่าวอ้าง และใช้เป็นพยานหลักฐาน ในการกล่าวหาและดำเนินคดีอาญาต่อผู้เสียหาย ดังที่ปรากฎในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาในวันที่ 14 พ.ย.2565 และตามที่ “พ.ต.อ.” ชื่อย่อ ช.ผู้ต้องหาที่ 6 นำข้อความอันเป็นเท็จจดแจ้งในประจำวันข้อ 5. เวลา 13.45 น. วันที่ 18 พ.ย.2565 ของ สภ.เมืองชลบุรี เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้เสียหายไว้ โดยอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อแจ้งผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงและส่งพยานหลักฐานแก้ข้อกล่าวหาต่อไป