ใครที่ไปเที่ยวภูกระดึง ต้องเจอกับประโยคนี้ “ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิต” บนป้ายไม้ขนาดใหญ่ ที่จุดเดินขึ้นภู บริเวณ “หลังแป” ถ้ามาถึงจนเจอป้ายนี้ เท่ากับว่าคุณได้เดินผ่านบทเรียนความแกร่ง ความอดทนของร่างกายและจิตใจ เพื่อขึ้นมายืน ณ จุดสูงสุดของ “ภูกระดึง” จ.เลย ของอุทยานแห่งชาติภูกระดึงแล้ว และจากจุด ก็จะมีรางวัลรอข้างหน้า คือการได้สัมผัสไฮไลต์แหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม และธรรมชาติที่บริสุทธิ์บนยอดภูกระดึงแห่งนี้
เตรียมพร้อมก่อนเที่ยวภูกระดึง เดินขึ้นเขาพิชิตยอดภู
เริ่มกันที่การเดินทางไปภูกระดึงก่อน ใครไปด้วยรถโดยสาร จุดหมายปลายทางคือ ผานกเค้า จากนั้นให้จ้างรถสองแถวไปยังอุทยานแห่งชาติภูกระดึงในราคาเหมา 300 บาท แต่หากรวมกลุ่มกับนักท่องเที่ยวอื่นๆ ได้ 5-6 คน เฉลี่ยกัน เราก็จะจ่ายได้ถูกลง เมื่อไปถึงชำระค่าธรรมเนียมการเข้าอุทยานฯ คนละ 40 บาท และลงทะเบียนการขึ้นภูกระดึง
เมื่อมาถึงใครที่เช่าเต็นท์พัก ก็จ่ายในราคา 225 บาทต่อคืน พักได้ 3-4 คน ส่วนใครนำมาเต็นท์มาเอง จะเสียค่าเช่าพื้นที่ 30 บาทต่อคืน
ก่อนเริ่มเดินทางพิชิตภูกระดึง เราต้องเตรียมพร้อมกันก่อน ตั้งแต่จัดกระเป๋าเสื้อผ้า และข้าวของจำเป็น โดยเฉพาะช่วงเดินขึ้นภูกระดึง ควรใส่เสื้อผ้าที่บางเบา ระบายเหงื่อได้ดี ติดแจ็กเก็ตกันหนาวไปตัวเดียวก็พอ และอย่าลืมหมวกด้วย
ส่วนอื่นๆ ที่ติดกระเป๋าเพื่อพักบนภูกระดึงนั้น แน่นอนของประจำตัว อย่างยารักษาโรคประจำตัว ไฟฉาย รองเท้าที่นุ่มสบายกระชับเท้า ถุงนอน กระติกน้ำ ขนมและลูกอม เลือกเฉพาะของจำเป็นที่สุด เพื่อให้น้ำหนักกระเป๋าไม่หนักมากนัก เพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง ถ้าแบกสัมภาระขึ้นเองจะได้ไม่หนักเกินไป หรือหากจ้างลูกหาบ จะได้ไม่แพงมาก เพราะปกติคิดค่าใช้จ่ายที่ราคา 30 บาทต่อกิโลกรัม
คำแนะนำอย่างจริงใจ คือควรใช้บริการลูกหาบ ไม่ควรแบกสัมภาระเอง และควรแบ่งเสื้อผ้าและอุปกรณ์อาบน้ำติดตัว เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อถึงยอดภูกระดึง ก่อนที่ลูกหาบยังขึ้นมาไม่ถึง
ระยะทางเดินขึ้นภูกระดึง 9.1 กม. โหดหิน ตัวจริง คือ “ผู้ชนะ”
ถึงเวลาที่ต้องลุยเดินขึ้นภูกระดึงจริงๆ แล้ว ให้หยิบ “ไม้เท้าช่วยเดิน” ที่อยู่บริเวณทางเข้าติดมือไว้ เพราะเป็นประโยชน์มากในการช่วยพยุงตัวและบรรเทาอาการเจ็บหัวเข่า เพราะต้องเดินทางไกลถึง 9.1 กิโลเมตรเลยทีเดียว โดยเฉพาะช่วง 5.5 กิโลเมตรแรก เป็นทางขึ้นเขา ที่มีแต่ความลาดชัน ลื่น ต้องปีนป่ายทั้งโขดหินและบันได เทคนิคการเดินคือ ไม่ควรเร่งรีบจนเกินไป เมื่อเหนื่อยหอบให้หยุดพักเป็นระยะ จิบน้ำบ่อยๆ แม้จะไม่หิวน้ำก็ตาม
ตั้งแต่ย่างก้าวแรกจะรู้สึกเหมือน ได้รับบททดสอบกำลังขาและจิตใจโดยเฉพาะช่วง “ปากกกค่า” ไปยัง “ซำแฮก” แม้มีระยะทางแค่ 200 เมตร แต่เป็นทางสูงชัน เดินยากลำบากมาก อาจทำให้เกิดอาการท้อแท้และหมดใจไปได้ง่ายๆ แต่เมื่อผ่านพ้นมาได้ ก็จะรู้สึกว่ามีกำลังใจมากขึ้น และเมื่อเริ่มหิวกระหาย ให้แวะเติมพลังทั้งอาหารและเครื่องดื่มจากร้านค้าในบริเวณ “ซำแฮก ซำบอน ซำกกกอก” เพราะจากนี้ไปไม่มีจุดให้บริการ
ขณะที่เส้นทางข้างหน้าตั้งแต่ “ซำกอชาง” “พร่านแป” “ซำกกหว้า” “ซำกกไผ่” “ซำกกโดน” จะยิ่งลำบากมากขึ้นโดยเฉพาะช่วง “ซำแคร่” ก่อนที่จะถึงยอดเขา หรือ “หลังแป” ถือว่าเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุดก็ว่าได้ แต่เมื่อขึ้นไปถึงแล้ว มีรางวัลรออยู่ ก็คือป้ายข้อความ “ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิต” เป็นจุดพักเท้า พักร่าง และถ่ายรูปเพื่อเป็นตราประทับแสดงหลักฐานอวดความสำเร็จการอดทนจนสามารถขึ้นมาสู่ยอดภูกระดึงได้
ยังไม่จบเพียงเท่านี้… พักแล้วยังต้องเดินต่อ
จากนี้คือเส้นทางราบอีก 3.6 กิโลเมตร เพื่อไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ดังนั้นโดยเฉลี่ยแล้วจะใช้เวลาเดินทางขึ้นภูกระดึง 4-5 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
ที่เที่ยวบนภูกระดึงวันที่ 1 สัมผัส “สระอโนดาต” พระอาทิตย์ตกที่ “ผาหล่มสัก”
การดื่มด่ำอย่างเต็มที่กับความงดงามทางธรรมชาติบนภูกระดึง ควรใช้เวลาอย่างน้อย 3 วัน 2 คืนอย่างต่ำ เหมือนอย่างที่มีการรีวิวแนะนำกันบ่อยๆ เพราะที่เที่ยวบนภูกระดึงนั้นมีจุดสวยงามโดดเด่นหลายแห่ง แยกง่ายๆ ด้วยสถานที่ให้อารมณ์แตกต่างกัน 2 ขั้ว คือ น้ำตก และภูผา
ไฮไลต์ที่เที่ยวบนภูกระดึงวันแรก แนะนำให้ไปเที่ยวน้ำตก ซึ่งมีมากถึง 10 แห่ง แต่น้ำตกที่ได้รับความนิยมและมีจุดเด่นน่าสนใจมาก มีประมาณ 3 แห่ง และที่อื่นที่ควรไปในวันแรก คือ
- “น้ำตกเพ็ญพบ” ด้วยลักษณะเป็นแนวหิน 3 ชั้น ลดหลั่นกันมา จึงสวยงามมาก
- “น้ำตกเพ็ญพบใหม่” โดดเด่นด้วย “ต้นเมเปิ้ล” สีแดงส้มตัดกับพื้นป่าสีเขียวได้อย่างงดงามลงตัว
- “น้ำตกธารสวรรค์” ที่สูงถึง 9 เมตร หรือเท่าตึกประมาณ 3-4 ชั้น ทำให้เกิดม่านน้ำสาดกระเซ็นให้ความชุ่มชื่นแก่ผืนป่าและลานหินจนเกิดเป็นตะไคร้สีเขียว
- จุดต่อมาที่ห้ามพลาดคือ “สระอโนดาต” ชมความใสของผืนน้ำสะท้อนเงาของก้อนเมฆขาวและป่าสน บริเวณนี้ยังเป็นแหล่งน้ำของช้างป่า ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ทางอุทยานฯ จึงไม่อนุญาตให้เข้าพื้นที่นี้หลังเวลา 15.00 น.
- เมื่อเดินลัดเลาะไปตามป่าสนอีก 5 กิโลเมตรจะพบกับ “ผาหล่มสัก” แลนด์มาร์กของภูกระดึง ที่ใครๆ ก็ต้องมาที่แท่นหินแหลมทอดยาวยื่นจากแผ่นดินสู่แนวผา และต้นสน โดยมีฉากหลังเป็นพระอาทิตย์ดวงกลมโตค่อยๆ ลับขอบฟ้า ที่มาของสัญลักษณ์อันโด่งดังของภูกระดึง ดังนั้นใครที่มาภูกระดึง แต่ไม่ได้มาถึงจุดนี้ถือว่ายังมาไม่ถึง
เมื่อดื่มด่ำบรรยากาศพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ผืนป่าที่มืดลง ก็ควรรีบเดินกลับที่พักโดยใช้เส้นทางริมผา ดังนั้นไฟฉายจึงสำคัญเพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์มีพิษ โดยเฉพาะ “งู” และการพลัดตกหน้าผา แต่ระหว่างทางเดินกลับ อย่าลืมความรื่นรมย์ สัมผัสอากาศหนาวเย็น และชมดาวเกลื่อนฟ้าที่เป็นเพื่อนร่วมเดินตลอดทาง
ที่เที่ยวบนภูกระดึงวันที่ 2 มวลเมฆโอบกอดเทือกเขา
เริ่มเที่ยวภูกระดึงวันที่ 2 ต้องไม่พลาดชมความงดงามของพระอาทิตย์ขึ้นที่ “ผานกแอ่น” ท่ามกลางบรรยากาศทะเลหมอก ทิวทัศน์ท้องทุ่งและเทือกเขา ซึ่งเจ้าหน้าที่ฯ จะนัดหมายเวลา 05.00 น. หากมาไม่ทันก็ไม่อนุญาตให้เดินมาเองเพราะอาจได้รับอันตรายจากช้างป่า ทั้งนี้การเดินทางชมภูผา สามารถเลือกเดินหรือเช่ารถจักรยานในราคา 360-410 บาทต่อคัน และควรติดเสบียงและน้ำดื่มไปด้วย เพราะร้านค้าอยู่ห่างไกลกัน โดยจุดที่แนะนำคือ “องค์พระพุทธเมตตา” พุทธรูปปางมารวิชัย อายุมากกว่า 100 ปี
ยังมีจุดชมวิว “ผาหมากดูก” ห่างจากศูนย์บริการฯ เพียง 2 กม. และ “ผาจำศีล” เป็นลานหินกว้าง ที่ดูแล้วหวาดเสียว แต่ก็สวยงาม และเป็นอีกจุดในการชมพระอาทิตย์ตก ปิดท้ายที่ “ผาเหยียบเมฆ” ลานหินกว้าง มองเห็นท้องฟ้าได้กว้างไกล
ที่เที่ยวบนภูกระดึงวันที่ 3 กลับบ้านพร้อมพลัง และบทเรียนนำชีวิต
วันที่สามผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงเวลากลับบ้าน หลังจากเที่ยวภูกระดึงเต็มอิ่ม ชาร์จพลังเต็ม 100% แล้ว การเตรียมตัวลงจากภูกระดึงก็ไม่ต่างจากขาขึ้น ควรเลือกเดินทางลงตั้งแต่เช้าก่อนที่แดดจะร้อน และต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะการเดินลงจะอันตรายมากกว่าขาขึ้น และเช่นเดิมต้องใช้ไม้เท้าเป็นอาวุธช่วยพยุงตัว เพื่อลดอุบัติเหตุลื่นล้ม รวมถึงอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า และอย่าลืมเอาขยะที่จะทิ้ง และขยะรีไซเคิลที่นำขึ้นไปลงมาด้วย
จบ 3 วัน 2 คืน กับการท่องเที่ยวภูกระดึง พร้อมประสบการณ์อันล้ำค่า กับ “ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง” ที่นอกจาก “ภูกระดึง” ได้มอบความงดงามตามธรรมชาติแก่ผู้มาเยือนแล้ว ยังมอบบททดสอบพิเศษ ให้รู้จักคำว่า “ต่อสู้และอดทน” อีกด้วย
ซึ่งควรได้รับรางวัลตอบแทนเป็น “ความภาคภูมิใจ” ซึ่งประสบการณ์นี้จะคอยย้ำเตือนให้ระลึกอยู่เสมอว่า ยามใดที่ชีวิตต้องเผชิญกับอุปสรรคปัญหาก็สามารถที่จะผ่านพ้นไปได้เช่นกัน