วันที่ 2 กรกฎาคม 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก วิเคราะห์การเมืองปม “ศึกพลิกขั้ว”
ชะตากรรมประชาชนแขวนอยู่บนเกมอำนาจผลประโยชน์แบบไทยๆ การเลือกตั้งเป็นเพียงพิธีกรรม ผ่านไปเดือนครึ่งยังไม่รู้ว่าใครเป็นนายกฯ หน้าตารัฐบาลไม่เห็นเค้าลางประชาธิปไตย พิธาไม่เคยมีคดี พอมีชื่อเป็นนายกฯ คดีถูกขุดมาตั้งแท่นเป็นพรวน เดินต่อลำบากขาดเสียงโหวต ส.ว.ทิพย์
ประธานสภาเป็นเกมตัดสินของสองพรรค ชิงตำแหน่งชัวร์ไว้ก่อน เพื่อไทยต้องการประธานสภา เพราะรู้ว่า สถานการณ์พลิกขั้ว อ่านข้ามช็อตต้องจัดสมการรัฐบาลใหม่ ยังไงพิธาตกสวรรค์แน่ กำตำแหน่งนี้ไว้ได้ดุลอำนาจต่อรอง
ก้าวไกลรู้ว่าคะแนนมาเป็นอันดับหนึ่ง หากไม่ได้ตำแหน่งนายกฯ ยังได้ประธานสภาไว้ผลักดัน โดยเฉพาะรื้อมาตรา 112 ไว้เรียกคะแนนครั้งต่อไป ดีกว่าไม่ได้ทั้งนายกฯ ไม่ได้ทั้งประธานสภา “กำขี้ดีกว่ากำตด”
ศึกชิงตำแหน่งประธานสภาจึงทำให้เกิดอาการชักเข้าชักออกของเพื่อไทย กระแสล่าสุดปล่อยว่ายอมถอยให้ก้าวไกล พ่วงออพชั่นหากพิธาไม่ผ่าน ส.ว. ต้องให้เพื่อไทยเป็นแกนนำจัดรัฐบาล
และก้าวไกลต้องอยู่ในสูตร “รัฐบาลแห่งความฝัน” 8 พรรคกอดคอกันเหมือนเดิม ทำทีให้ประชาชนเห็นว่า “ก้าวไกล” และ “เพื่อไทย” จะรักกันตลอดไป ทั้งที่รู้ว่าประธานสภาเป็นการโหวตลับ เกิดอาการเสียงแตกเมื่อไหร่พี่ก็ช่วยน้องไม่ได้
และหากยังคงมีก้าวไกลร่วมรัฐบาล แม้เอาชื่อแคนดิเดตนายกฯ จากเพื่อไทยขึ้นมาก็ไม่ผ่านโหวต ส.ว. ลากตั้งอยู่ดี เพราะพรรคที่ต้องการรื้อ มาตรา 112 มีก้าวไกลอยู่พรรคเดียว
ครั้นจะไปเอาพรรคอื่นๆ มา ก็ต้องรอให้ถึงทางตันก่อน อ้างเหตุมีพรรคก้าวไกลร่วมด้วย ไม่ว่าชื่อไหนเป็นนายกฯ ก็ไม่ผ่าน ส.ว. จะมาจากก้าวไกล หรือจากเพื่อไทยก็ถึงทางตัน
เป็นเหตุให้ต้องถีบหัวส่งก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน พิธารับตำแหน่ง “ผู้นำฝ่ายค้าน” เงื่อนไขศึกพลิกขั้วอำนาจ เส้นทางรัฐบาลแห่งความฝันไปต่อลำบาก ร่องรอยปริแตกให้เห็น
เมื่ออำนาจเก่าไม่ไฟเขียว ส.ว. ลากตั้งมีเงื่อนไข “มีก้าวไกลไม่มี ส.ว.” ส่วนของก้าวไกล “มีลุงไม่มีเรา” เพื่อไทยจึงต้อง “พลิกขั้วเพื่อชาติ” เปิดเกมยึดประธานสภาไว้ก่อน เป็นแผนที่ถอยไม่ได้ด้วยประการฉะนี้