“ทราย เจริญปุระ” ดาราดัง ซัดกลับแซ่บ ป่วยซึมเศร้าไม่จำเป็นต้องซื้อไซยาไนด์ฆ่ายกครัว พร้อมอัปเดตอาการป่วยล่าสุด
หลังจากมีกระแสข่าวตำรวจขยายผลคดี แอม ไซยาไนด์ เจอนางเอกร้อยล้านสั่งซื้อไซยาไนด์ จนเกิดการโยงไปที่ดาราหลายคน หนึ่งในนั้นมีชื่อของดาราสาว ทราย เจริญปุระ ถูกพุ่งเป้าไปด้วยล่าสุดทรายออกมาชี้แจงในรายการโต๊ะหนูแหม่มพร้อมอัพเดตอาการซึมเศร้าล่าสุด
ทราย เผยว่า “ที่คนโยงข่าวมา คือตอนแรกเราไม่คิดเลยว่าจะเป็นเรา เพราะนางเอกร้อยล้าน ตอนที่เราเล่นนางนากมันก็ 20 กว่าปีแล้ว และหลังจากนั้น เขาก็มีร้อยล้านกันอีกเยอะมากมาย ซึ่งคิดว่าเรื่องมันคงไม่ถึงเราหรอก แต่ในที่สุดเรื่องมันก็มาถึงเราจนได้ แล้วตอนแรกเราก็เห็นข่าวที่นักแสดงสั่งซื้อไซยาไนด์ ซึ่งเราก็ไม่ได้เดาว่าเป็นใคร แล้วก็ไม่ได้คิดด้วยว่าจะเป็นเรา แล้ววันนั้นเราก็คือไปกองปกติ และเพื่อนก็ทักมาว่านางเอกร้อยล้านว่ะ เราก็ถามว่าเป็นใคร ถามเหมือนคิดว่าไม่ใช่ตัวเอง เพื่อนก็เลยบอกว่าให้ดูคอมเมนต์ก่อน ดูตัวย่อดูคำใบ้สุดท้ายมาตกที่เรา ตอนแรกเราก็คิดว่า ถ้ามันไม่ใช่เรา ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรไหม แต่เพื่อนบอกให้รีบพูดดีกว่า เพราะเราไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีข่าวหรือกระแสอะไรมาอีกหรือเปล่า ก็เลยพูดไปก่อนเลยว่าไม่ใช่เรานะ ที่คนเชื่อและไม่เชื่อ มันรู้สึกแย่ เพราะข่าวมันดังและข่าวมันไม่ได้ดังไปในทางที่ดี และมันมีคนที่สูญเสียจากเหตุการณ์นี้เยอะมาก หลายครอบครัว คนในครอบครัวก็ต้องเสียชีวิต บางคนไม่ได้เสียชีวิตก็จริง แต่ก็เสียเงินเสียทองอะไรกันไปแบบเยอะแยะมากมาย และคดีมันก็ยังไม่ได้สิ้นสุด ตำรวจเขาก็ยังสืบ ยังขยายผลอะไรกันอยู่ คือตอนแรกเหมือนที่กองถ่ายเราก็ยังขำกันอยู่ แซวว่านางเอกร้อยล้านกินข้าวกันหรือเปล่า ซึ่งเราก็บอกว่าอย่าพูดเลย เราเครียดมาก แต่มองในแง่ดี เขาก็ยังคิดถึงเรานะว่าเราเป็นนางเอกร้อยล้าน ซึ่งเราบอกว่าไม่ต้องมาดูอะไรแบบนี้ แต่ถ้าข่าวนางเอกร้อยล้านถูกหวยมันยังโอเค (หัวเราะ) และคนที่ตามเราก็จะรู้พอสมควรว่า เราไม่ได้มีการเชื่อมโยงอะไรใดๆ ทั้งสิ้นได้ โอเคไซยาไนด์มันอาจจะเป็นสารเคมีที่ใช้ในบางแวดวงอุตสาหกรรม แต่นี้เราไม่มีการเชื่อมโยงอะไรเลย”
“ถามว่าอยากจะบอกอะไรกับคนที่เข้าใจผิดว่าเป็นเรา ซึ่งไม่ต้องคิดถึงเราขนาดนั้นก็ได้ วอนทุกคนให้หยุด เพราะคือมันบ่อยเกินไป หรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่มีชื่อเราเข้าไปอยู่ในดราม่าอะไรแบบนี้ คือทรายไม่ได้รู้เรื่องและไม่ได้ตามตลอดด้วย บางทีเราตามบางแพลตฟอร์มเท่านั้นเอง อย่างเช่น Facebook เพราะเรามีเพื่อนแล้วเราอ่านข่าว แต่บางทีมันไปที่ TikTok ไปที่ Twitter คือเราไม่ได้ตามขนาดนั้น และบางทีกว่าเรื่องจะรู้มาถึงหูเรา คือเขาเมาท์จนแซ่บกันหมดแล้ว และบางคนเขาก็เชื่อไปแล้วว่าเป็นเรา คอมเมนต์แรงๆ ก็จะมีอย่างอันที่เพิ่งเล่าไป ที่มีน้องคนหนึ่งออกมาแก้ต่างให้เราว่า พี่เขาได้ออกมาชี้แจงแล้ว แต่ก็มีคนเข้ามาคอมเมนต์บอกว่า “ถึงใช่ เขาก็ไม่ยอมรับหรอกค่ะ” แล้วก็มีคนคอมเมนต์ถามว่า เอามากินเองหรือเปล่า หรือว่าแบบเห็นว่าป่วยซึมเศร้า เอามาแบบวางแผนว่าจะไปทั้งครอบครัวหรือเปล่า คือมันไปกันใหญ่ และไม่รู้ว่าจะโกรธตรงไหนก่อนเลย คือก็ไม่รู้ว่าเขามันมือ หรือไม่ชอบอะไรสักอย่าง ซึ่งบางคนก็บอกว่า อย่าไปอ่านอย่าไปใส่ใจ แต่บางครั้งที่เราไม่ได้ใส่ใจมันจริงๆ แต่สุดท้ายมันก็จะวนกลับมาที่เรา บางทีเราพูดเท่าไหร่ก็ไม่พอ”
ทราย เล่าต่อว่า “เหตุการณ์ในข่าวน่ากลัวนะ น่ากลัวจริงๆ หลายคนก็เพิ่งรู้ตอนที่ข่าวออกมา ว่าการที่เสียชีวิตของบางคนอาจจะไม่ได้เป็นเพราะธรรมชาติ หรือเป็นเพราะโรคประจำตัวหรือเปล่า เหมือนมันเพิ่งมาเปิดเผยทีหลัง ถ้าเขาทำจริงๆ ถือว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ที่ฆ่ามาหลายศพ เยอะที่สุดในเมืองไทยตอนนี้เลยก็ว่าได้ คือถ้าที่เมืองนอก สุดท้ายถ้าทำจริงๆ ก็จะต้องมีการติดตามเป็นกระบวนการ เป็นขั้นตอนของเขา คือไม่ได้ตัดจบว่าคนๆ นี้จะต้องไม่ใช่คนปกติแน่เลย เอามันไปประหาร มันก็จะต้องมีกระบวนการเพื่อป้องกันในอนาคต ว่าอยู่ที่การเลี้ยงดูอยู่ที่การเติบโตหรือเปล่า หรือว่ามีปมอะไรหรือเปล่า ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล คนทำผิดก็คือคนทำผิด ไม่ใช่ว่าป่วยแล้วจะไม่ผิด ที่เป็นซึมเศร้าจริงๆ ถ้าออกมายอมรับแล้วเราโดนด่าเยอะขนาดนี้ ก็อาจจะไม่ออกมายอมรับ คือเราคิดแค่ว่า อย่างคุณแม่ก็เป็นและมันพัฒนามาจากอาการซึมเศร้าหลังคลอด และเราก็จะรู้สึกว่า มันเป็นโรคที่ไม่ได้แปลก เพราะเวลาที่คุณแม่ไปหาหมอหรือไปรับยา เราก็ไปด้วย เพราะฉะนั้นพอมันถึงตัวเอง เราก็รู้สึกว่ามันก็เป็นปกติมั้ง ที่จะบอกว่าป่วยก็กินยาอยู่ค่ะ”
“เราป่วยโดยไม่รู้ตัวค่ะ คือคนเป็นจะไม่รู้ แบบมันไม่เหมือนเป็นหวัด ที่เราจะรู้สึกว่ามีอาการเป็นไข้หรือจาม ซึ่งมันจะต้องมีคนที่เปิดใจให้จริงๆ หรือคนที่เขารับฟังเราจริงๆ มาบอกแล้วเราถึงจะมาเช็กตัวเองว่าใช่ ใช่ไหม และในทุกวันนี้ พวกแบบสอบถามมันก็เยอะมากขึ้น แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะต้องได้รับการยอมรับหรือเข้าถึงการรักษา และได้รับคำปรึกษาได้ง่าย มันสะสมมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนที่คุณพ่อป่วยและเราก็ออกมาทำงานเป็นหัวหน้าครอบครัวแทน เป็นหัวหน้าครอบครัวตั้งแต่อายุยังไม่ 20 ซึ่งมันก็แบกอะไรหลายๆ อย่าง พอรับมาสะสมมาเรื่อยๆ และทรายขับรถจนเกิดอุบัติเหตุยางแตกเราก็ผ่าคอใส่นอต ทำให้เราคิดว่าถ้ากลับไปทำงานไม่ได้มันจะเป็นยังไง คือทุกอย่างมันประดังเข้ามา ซึ่งเป็นความเครียดหลังจากประสบเหตุร้าย มันก็เลยประทุออกมา แล้วมันก็เลยเพิ่มระดับเป็นเป็นโรค หลังจากนั้นก็หาหมอตลอดมา ส่วนรอบสอง หลังจากที่คุณแม่มีอาการซึมเศร้าและสมองเสื่อม ทำให้มีการทำร้ายตัวเอง ทำให้มีการทำร้ายเรา แล้วมันกดดันมากๆ ซึ่งเราต้องเลือกระหว่างให้คุณแม่แอดมิตศรีธัญญา หรือให้คุณแม่อยู่บ้าน แล้วเราต้องเก็บมีดเก็บทุกสิ่งอย่างให้หมดเลย เพราะเขาไม่รู้ตัว และสามารถทำร้ายเราได้อย่างรุนแรง ซึ่งทุกคนที่อยู่ด้วยกัน มันไม่ไหวมากๆ แล้ว และเราก็เริ่มป่วยลงไปอีก ระแวงไปอีก จนวันหนึ่งน้องชายมาบอกว่า มีคนป่วยคนหนึ่งเข้าใจ แต่ตอนนี้มันจะป่วยกันทั้งบ้านแล้ว รวมถึงเราด้วย สุดท้ายก็เลยป่วยอีกรอบ เราเลยตัดสินใจให้คุณแม่รักษาอย่างจริงจัง ด้วยการพาไปแอดมิตที่ศรีธัญญา ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรอีกแล้ว ซึ่งในตอนนั้น คุณแม่เขาก็ได้รับการรักษาดูแลอย่างดี”
“ตอนนี้อาการเรา คือทรายหยุดยามา 3 ปีแล้ว และเราตั้งใจว่าจะทำให้ได้ เพราะเราเห็นแม่มาตั้งแต่เด็ก แล้วเขาก็กินยามาตลอด ซึ่งคุณหมอบอกว่า มันไม่ใช่ความเดือดร้อนหรอกที่จะต้องจ่ายยา คุณจะกินยาไปแค่ไหนก็ได้ เขายินดีจ่าย แต่มันมีทางที่จะหยุดได้ แล้วคุณต้องให้ความร่วมมือด้วย ด้วยการทำจิตบำบัด จัดการกับวิธีคิดใดๆ ของตัวเองไปด้วย ร่วมกับยาที่คุณหมอจะจ่ายให้ มันมีหนทางที่จะดีขึ้นได้ ซึ่งเราก็ต้องแข็งแกร่ง และตอนนี้เราก็หยุดยาได้แล้ว”