นักวิทย์จีนค้นพบไวรัสชนิดใหม่ “เลย์วี” อยู่ในกลุ่มไวรัสนิปาห์ มีผู้ติดเชื้อ 35 ราย ในมณฑลซานตง และเหอหนาน คาดต้นตอมาจากหนูผี ยังไม่ยืนยันการระบาดจากคนสู่คน ขณะที่แพทย์เฝ้าระวังแต่ไม่ตื่นตระหนก
เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ที่ผ่านมา เว็บไซต์ข่าว Global Times ของทางการจีน รายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์จีนแห่งสถาบันจุลชีววิทยาและระบาดวิทยา ในกรุงปักกิ่ง ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ในสิงคโปร์ เผยแพร่บทความทางการแพทย์ผ่านวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ ระบุว่า พวกเขาค้นพบเชื้อไวรัสชนิดใหม่ที่มีชื่อว่า “Langya henipavirus” หรือ “เลย์วี” (LayV) ซึ่งอยู่ในกลุ่มไวรัสนิปาห์ (Henipavirus) โดยค้นพบผู้ติดเชื้อรายแรกที่มณฑลซานตง ในช่วงก่อนเดือนมกราคม 2562 ก่อนที่จะพบผู้ติดเชื้อแบบกลุ่มก้อน 14 ราย แล้วจากนั้นการวิจัยก็ต้องหยุดไปเนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
รายงานข่าวระบุว่า จนถึงตอนนี้มีผู้ติดเชื้อแล้ว 35 ราย ในมณฑลซานตง ทางภาคตะวันออก และมณฑลเหอหนาน ทางภาคกลางของจีน อย่างไรก็ตาม แพทย์ยังไม่สามารถยืนยันการติดเชื้อจากคนสู่คนได้ แต่ระบุว่า ผู้ป่วยมีประวัติสัมผัสกับสัตว์ และคาดว่าไวรัสชนิดนี้มีต้นตอมาจาก “หนูผี” (shrews) สัตว์ฟันแทะที่มีขนาดเล็ก โดยผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรงอย่างเป็นไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดกล้ามเนื้อ และยังไม่พบผู้เสียชีวิต
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (World Health Organization-WHO) ระบุว่า สัตว์ที่ติดเชื้อไวรัสนิปาห์ จะมีอาการรุนแรง และสำหรับมนุษย์ไวรัสชนิดนี้มีระดับความปลอดภัยทางชีวภาพ (biosafety level) อยู่ที่ระดับ 4 สูงสุด มีอัตราการติดเชื้อแล้วเสียชีวิตอยู่ระหว่าง 40-75 เปอร์เซนต์ ซึ่งเป็นตัวเลขสูงกว่าเชื้อไวรัสโคโรนา ขณะที่ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันและยังไม่มียารักษาเฉพาะ ผู้ติดเชื้อจะได้รับการรักษาตามอาการ โดยองค์การอนามัยโลกจัดไวรัสนิปาห์ เป็นหนึ่งในกลุ่มเชื้อไวรัสที่มีโอกาสสูงสุดที่จะกลายเป็นโรคระบาด
หวัง หลินฟา ศาสตราจารย์ประจำโครงการโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ ของสถาบันการแพทย์ Duke-NUS กล่าวว่า ยังไม่มีปัจจัยให้ต้องตื่นตระหนกเกี่ยวกับไวรัสเลย์วี แต่ธรรมชาติของเชื้อไวรัสเมื่อมีการแพร่ระบาดมาสู่คนแล้วจะมีผลลัพธ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ และเชื่อว่าไวรัสโคโรนา คงจะไม่ได้เป็นเชื้อไวรัสตัวสุดท้ายที่เกิดการแพร่ระบาดรุนแรงมีคนติดเชื้อทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คน.