นายกฯ ลั่น ไม่ย่อท้อ ทำคนไทยมีความเป็นอยู่ที่ดี ประเทศสงบร่มเย็น ก้าวไปสู่อนาคตอย่างมั่นคง ย้ำจุดยืน “ยูเครน-รัสเซีย” แก้ปัญหาอย่างสันติ ยินดีศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือคนไทยในยูเครน” เริ่มเคลื่อนย้ายไปสู่พื้นที่ปลอดภัย
เมื่อเวลา 18.20 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก “ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha” ถึงสถานการณ์ยูเครน-รัสเซียว่า พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ สถานการณ์โลกที่กำลังส่งผลกระทบต่อชาวโลกรวมถึงและชาวไทยในขณะนี้ นั่นคือ สถานการณ์ในยูเครน-รัสเซีย ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจของโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่สูงขึ้น รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์ อัตราแลกเปลี่ยน และการค้า-การลงทุน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมและคณะรัฐมนตรี ได้ติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด โดยวันนี้ (28 ก.พ. 65) ผมเรียกประชุมพิเศษกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อประเมินผลกระทบ แนวโน้มสถานการณ์ และสั่งการให้เตรียมความพร้อม แผนเผชิญเหตุ และกำหนดมาตรการรับมือเพื่อลดผลกระทบที่อาจจะตามมาอย่างเป็นรูปธรรม
โดยสิ่งที่ผมให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกก็ คือ ความปลอดภัยของพี่น้องชาวไทยในยูเครน ซึ่งผมได้สั่งการให้มีการจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือคนไทยในยูเครน” โดยเริ่มมีการเคลื่อนย้ายไปสู่พื้นที่ปลอดภัยแล้ว และผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับรายงานว่า ทุกคนปลอดภัยดี ทั้งนี้ ผมขอเรียนให้พี่น้องประชาชนทุกคนทราบเกี่ยวกับความขัดแย้งระดับโลกในครั้งนี้ว่า ประเทศไทยมีจุดยืนในการ “สนับสนุนแนวทางการแก้ปัญหาอย่างสันติ” และ “พร้อมให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเต็มที่” กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ
ส่วนสถานการณ์ในประเทศที่ผมมีความเป็นห่วงเช่นกัน ก็คืออุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ครอบคลุม 5 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช นราธิวาส ยะลา พัทลุง และปัตตานี ซึ่งผมได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือเยียวยาโดยด่วน และปฏิบัติการตามแผนเผชิญเหตุที่รัฐบาลได้สั่งการไว้ล่วงหน้า ซึ่งมีส่วนช่วยลดผลกระทบลงได้บางส่วน ปัจจุบันระดับน้ำเริ่มลดลงทุกจังหวัดแล้ว และหน่วยงานต่างๆ กำลังเร่งมือให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึง และเข้าสู่การเยียวยาและฟื้นฟูให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วต่อไป
นอกจากสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว การขับเคลื่อนและพลิกโฉมประเทศก็ยังมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและรอช้าไม่ได้เพื่อการลงทุนสำหรับอนาคตของประเทศชาติ ในวันนี้ (28 ก.พ. 65) ผมได้เป็นประธานในพิธีเปิด 2 โครงการสำคัญ และติดตามความคืบหน้า ผ่านระบบ Video Conference ดังนี้
1. โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (ช่วงที่ 1) จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ตามโครงการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่จะส่งเสริมให้ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคอาเซียน โดยท่าเรือแห่งนี้จะเป็น “ศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ทางน้ำ” ซึ่งบรรจบกับระบบการคมนาคมของประเทศ ทั้งทางบก (รถไฟรางคู่ – รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน – มอเตอร์เวย์) และทางอากาศ (สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา) อีกทั้งจะเป็นประตูการค้าที่รองรับการลงทุนอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ทั้งที่เป็น S-Curve และ New S- Curve เชื่อมโยงกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของไทย
โดยการดำเนินโครงการทุกอย่างเป็นไปตามแผนอย่างน่าพอใจ เช่น โครงการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ที่มีการเตรียมความพร้อมดึงดูดการลงทุนฐานนวัตกรรมขั้นสูง และจูงใจนักลงทุนทั่วโลกเข้าสู่พื้นที่ EEC อีกด้วย ซึ่งนำไปสู่การกระจายความเจริญ เชื่อมโยงไปสู่ทุกภูมิภาคของประเทศ ผ่าน 10 เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone: SEZ) ที่มี EEC เป็นต้นแบบ
2. โครงการบ้านเคหะสุขเกษม อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยมาตรฐานคุณภาพดี เพื่อให้พี่น้องประชาชนที่อายุ 55 ปีขึ้นไป เช่าระยะยาว ในราคาเพียง 2,900 บาทต่อเดือน ในสภาพแวดล้อมที่ดี มีศูนย์สุขภาพ (วารีบำบัด) ที่ดูแลโดยพยาบาลวิชาชีพและแพทย์แผนไทย มีพื้นที่สันทนาการและออกกำลังกาย-โยคะ-ฟิตเนส มีคลินิกอายุรกรรม สวนสาธารณะและสวนน้ำ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเกิดความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเครือข่ายชุมชน ให้มีส่วนร่วมแบบอาสาสมัคร สำหรับเยี่ยมเยือน และจัดกิจกรรมร่วมกับผู้อยู่อาศัยเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์อันดี โดยมีเป้าหมายมากกว่า 4,089 หน่วย แบ่งออกเป็น 4 ระยะ และจะเป็นต้นแบบในการขยายผลไปสู่ภูมิภาคต่างๆ เพื่อความมั่นคงในชีวิตของผู้สูงอายุทั่วประเทศ
ทั้งหมดนี้ เป็นความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะดูแลพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ประสบภัยในประเทศหรือนอกประเทศ และจัดมาตรการรองรับประชาชนตั้งแต่เด็กถึงผู้สูงอายุ รวมถึงการวางรากฐานทางเศรษฐกิจและการสร้างนวัตกรรม นำไปสู่อนาคตที่มีความท้าทายในการแข่งขันสูงยิ่งขึ้น ความผันผวนในโลกที่เกิดขึ้นนั้น ยิ่งทำให้เห็นว่าความมั่นคงของประเทศ และความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจของคนในชาติ ว่ามีความสำคัญและจำเป็นเพียงใดต่อการพัฒนาประเทศ ที่ผ่านมาเราอาจมีสิ่งที่มองไม่ตรงกันบ้าง ขัดแย้งกันบ้าง แต่เราทุกคนล้วนเป็นคนไทย และมุ่งหวังในสิ่งที่ดีต่ออนาคตของประเทศชาติ นั่นคือเป้าหมายที่เรามีร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี จะมุ่งหน้าอย่างไม่ย่อท้อ ในการทำให้ประชาชนคนไทยทุกคน ทุกพื้นที่ มีความเป็นอยู่ที่ดี ประเทศชาติสงบร่มเย็น และก้าวไปสู่อนาคตอย่างมั่นคงแข็งแรงครับ