“อนุชา” พูดชัด ไร้สัญญาณเลือกตั้ง ยันลิสต์นายกฯส่ง “ลุงตู่” ชื่อเดียว คนใต้ยังรักเหนียวแน่น “วันชัย” สวมบท โหรทำนายปลายปีแรงแน่ ฤทธิ์เดชดาวอังคารทำวุ่น เหมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก “โรม” ยังเชื่อยุบสภาหลังเลือกตั้ง อบต. พท.ขอ “ลุง” ไปเหอะอย่าอยู่ต่อเลย โพลชี้คนอยากให้ ยุบสภาโดยเร็ว ถ้าจะปรับ ครม.ต้องปรับใหญ่ “โจ้” แฉ สทนช.จัดซื้อเครื่องสูบน้ำกลิ่นตุ “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ต้องร่วมรับผิดชอบ “เรืองไกร” ร้อง ป.ป.ช.สอบพระเครื่อง ผบ.ตร.
จากคำสั่งโหมโรงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ที่ให้รัฐมนตรี และ ส.ส.รัฐบาลกระจายลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำท่วม จนถูกจับตาว่าเร่งเก็บคะแนนเตรียมรับศึกเลือกตั้งใหญ่นั้น ล่าสุดจากการสำรวจความคิดเห็นของนิด้าโพล ระบุว่าเสียงส่วนใหญ่ ต้องการให้ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่โดยเร็วที่สุด
“อนุชา” ยันไม่มีสัญญาณเลือกตั้ง
เมื่อวันที่ 10 ต.ค. นายอนุชา นาคาศัย รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค พปชร. และได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคว่า เป็นเรื่องดี มาร่วมกันทำงาน ส่วนที่นายชื่นชอบ คงอุดม ย้ายมาอยู่พลังประชารัฐจะมีการยุบพรรคพลังท้องถิ่นไทยมารวมด้วยหรือไม่นั้น ต้องดูว่าบริบทการเมืองในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ต้องว่ากันตอนแก้ไขรัฐธรรมนูญสะเด็ดน้ำแล้ว โดยเฉพาะบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ที่ถือเป็นประเด็นสำคัญสำหรับแนวคิด หรือยุทธ ศาสตร์พรรคในวันข้างหน้า ตอนนี้ที่เริ่มมีอดีต ส.ส. นักการเมืองย้ายพรรค ก็ไม่ใช่จะมีเลือกตั้งเร็วๆนี้ ยังไม่มีสัญญาณแม้แต่นิดเดียว
แฟนคลับ “ลุงตู่” เหนียวแน่นที่ใต้
เมื่อถามว่า คิดว่าประชาชนจะยังเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม อีกหรือไม่ นายอนุชาตอบว่า คิดว่ายังมีประชาชนส่วนหนึ่งที่รัก พล.อ.ประยุทธ์ โดยเฉพาะภาคใต้ เชื่อว่ามีประชาชนเยอะมากที่ยังรัก ถ้าในอนาคตได้ทำความเข้าใจในวิถีทางต่างๆแล้ว คิดว่าจะมีประชาชนรักเพิ่มขึ้น เมื่อถามว่าพื้นที่ใดเป็นจุดอ่อน ที่ พล.อ. ประยุทธ์ต้องรุกเข้าไปเพิ่ม นายอนุชาตอบว่า ยังไม่มีจุดอ่อน เมื่อถามว่าพรรคพลังประชารัฐยังเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ชิงตำแหน่งนายกฯ เพียงชื่อเดียวใช่หรือไม่ นายอนุชาตอบว่า ใช่ๆ ยังไม่มีสัญญาณอย่างอื่น เมื่อถามว่านายพีระพันธุ์ถูกมองว่าอาจมาเป็นนายกฯสำรอง นายอนุชาปฏิเสธว่า “ไม่เคยได้ยินแม้แต่นิดเดียว”
แง้มแก้กฎหมายลูก 4 ประเด็น
นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจะมี 4 เรื่อง คือ 1.จำนวน ส.ส.เขตจาก 350 คน เป็น 400 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อจาก 150 คน เป็น 100 คน 2.แก้ไขให้ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คือเลือก ส.ส.เขต กับเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ 3.แก้ไขวิธีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ต้องเป็นสัดส่วนโดยตรงกับคะแนนรวมทั้งประเทศ โดยการแก้ไขมาตรา 91 เรื่องการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ โดยนำความจากมาตรา 98 ตามรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมปี 54 ยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะมายกร่างฯ 4.แก้ไขให้การเลือกตั้ง ส.ส.เขต กับบัญชีรายชื่อใช้เบอร์เดียวกันทั้งหมด เหมือนกับปี 54 ที่ใช้เบอร์เดียวทั้งประเทศ พรรคเตรียมไว้หมดแล้ว พร้อมจะยื่นต่อประธานรัฐสภา แต่ต้องรอโปรดเกล้าฯร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญลงมาก่อน
ทำโพลวัดผลงาน ส.ส.-ผู้สมัคร
นายไผ่ ลิกค์ รองเลขาธิการพรรค พปชร.กล่าวว่า ตามพรรคสั่งการให้ ส.ส.ลงพื้นที่ จะมีการทำโพลเลือกผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคไปด้วย ว่าดีหรือไม่ ลงพื้นที่ไหม เป็นการวัดคะแนนหรือตัดเกรดผู้ที่จะมาลงสมัครในนามพรรคไปด้วย เพื่อให้เลือกคนที่ดีที่สุด ถ้า ส.ส.คนใดคะแนนไม่ดี จะตักเตือนและแนะนำว่าต้องทำอย่างไร ซึ่ง ส.ส.ก็อยากรู้เพราะบางคนไม่รู้ว่าทำอะไรดี ไม่ดี ระบบเก่าเราทำงานแบบตาบอด ทั้งนี้การทำโพลครั้งนี้ไม่ได้มีบทลงโทษอะไร เพียงแค่ทำให้ ส.ส.ตื่นตัวขึ้น ดูว่างานที่ทำชาวบ้านชื่นชอบหรือไม่
“วันชัย” สวมบทโหรปลายปีแรง
นายวันชัย สอนศิริ ส.ว.โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “ว่างเว้นการพยากรณ์จากตำราโหราศาสตร์มานาน เจอใครก็พูดกันว่ารัฐบาลจะอยู่ได้ไม่เกินเดือนนั้นเดือนนี้ มาดูเรื่องดวงดาว ตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค. ดาวอังคาร ย้ายเข้าสู่ราศีตุล และย้ายออกวันที่ 4 ธ.ค. ดาวศุกร์จะโคจรพักในราศีมังกร ในเดือน ม.ค.2565 มีดาวพุธและศุกร์มาทับดาวเสาร์ โดยดาวพุธโคจรมาพักในราศีมังกรและทับดาวเสาร์ด้วย ดวงดาวแต่ละดวงที่ทับกันไปมา โคจรเดินหน้าถอยหลังยิ่งดาวอังคารเป็นดาวสงคราม เล็งดวงเมืองด้วยแล้ว ท่านว่าเดือน ต.ค.-พ.ย.และ ธ.ค. จะมีความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรง ทั้งในและนอกสภา ปะทะกันทั้งคำพูด การใช้กำลัง ที่เป็นอยู่แล้วจะเป็นมากยิ่งขึ้น สารพัดถาโถมเข้ามาเพราะฤทธิ์เดชดาวอังคาร เดือน ม.ค.2565 จะมีปัญหาทั้งการเงินการคลัง เรื่องปากท้อง ปากเสียงทางการเมือง พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก จะรับศึกกันไหวหรือไม่ จะอยู่หรือไปเป็นเรื่องดวงดาวในช่วงนั้น…ผมไม่เกี่ยว”
“โรม” เชื่อยุบสภาหลังเลือก อบต.
นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและหัวหน้าพรรค พปชร. ประกาศชู พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรค พปชร. ว่า คงฟังอะไรมากไม่ได้ ดูรักกันปานจะกลืนกิน สุดท้ายแทงกันยิ่งกว่าอะไร สิ่งที่ชี้วัดความแตกหักคือ การปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และคืนอำนาจ 4 กรม ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กลับไปให้พรรคประชาธิปัตย์ ชัดเจนว่าทั้งสองคนแตกหักกันจริง รัฐบาลมีเสถียรภาพน้อยลง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ขออยู่ต่ออีก 5 ปีนั้น นาทีเดียวก็ถือว่าให้โอกาสคนแบบนี้นานเกินไปแล้ว ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง มีความเป็นไปได้สูงที่จะยุบสภาเร็วๆนี้ หลังเลือกตั้ง อบต. เดือน พ.ย.นี้ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ กับพรรคพลังประชารัฐไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกัน ทุกวันนี้คงนอนไม่ค่อยหลับ ศัตรูเต็มไปหมด
ขอ “ลุง” ไปเหอะอย่าอยู่ต่อเลย
ด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมหลายจังหวัดขณะนี้ เป็นหลักฐานสะท้อนชัดว่า ตลอด เวลา 7 ปี ตั้งแต่ยุครัฐบาล คสช.มาจนถึงรัฐบาลพลังประชารัฐ ยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำล้มเหลว ลูบหน้าปะจมูก ทั้งที่ทุ่มงบประมาณจำนวนมาก เป็นการบริหารจัดการปัญหาผิดพลาดล้มเหลว ซ้ำวิกฤติโควิด ลามถึงวิกฤติเศรษฐกิจ ตัวเลขทางเศรษฐกิจเสียหาย ธุรกิจปิดกิจการ คนตกงานจำนวนมาก ปรับขึ้นราคาน้ำมัน 7 ครั้งใน 1 เดือน พล.อ.ประยุทธ์อยู่มา 7 ปี ย่างเข้าปีที่ 8 โทษใครไม่ได้แล้ว ก่อนจะเนื้อเต้นเป็นนายกฯอีกสมัยควรกลับไปสำรวจความล้มเหลวผิดพลาด นโยบายที่ใช้หาเสียงแถลงต่อรัฐสภา ทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ จะรับผิดชอบอย่างไร ก่อน พลิกโฉมประเทศควรพลิกการตัดสินใจยุติบทบาททางการเมืองจะดีกว่า
“วรงค์” โพสต์ชวน “รุ้ง” มาคุยกัน
ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า เห็นข่าว “รุ้ง” น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำกลุ่มปลดแอก โพสต์ลงทวิตเตอร์ว่า “ยังหยุดสู้ไม่ได้เพราะต้องการให้ชีวิตคนไทยดีขึ้น” อ่านแล้วความคิดนี้ของน้อง “รุ้ง” ตรงกับพวกเราไทยภักดี ถ้าเป้าหมายของเราตรงกันชวนมาคุยกันดีไหม เพราะการสู้เพื่อให้คนไทยอยู่ดีกินดี พวกเราน่าจะคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้
โพลแนะยุบสภา-ปรับ ครม.เร็วๆ
วันเดียวกัน นิด้าโพลเปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 1,311 หน่วยตัวอย่าง เรื่อง “พลเอกประยุทธ์ กับ 3 ประเด็นทางการเมือง” ระหว่างวันที่ 5-8 ต.ค. ความคิดเห็นประชาชนต่อความไม่ชัดเจนของรัฐธรรมนูญ เรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯไม่เกิน 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 40.73 ระบุว่า นายกฯควรประกาศว่า 8 ปีคือ อยู่ในตำแหน่งไม่เกินเดือน ส.ค.2565 รองลงมาร้อยละ 38.37 ระบุว่านายกฯควรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความโดยเร็ว มีร้อยละ 15.03 ให้อยู่เฉยๆไม่ต้องทำอะไร ส่วนความเห็นต่อกระแสยุบสภาฯเพื่อจัดเลือกตั้งใหม่ ส่วนใหญ่ร้อยละ 40.35 เห็นว่าควรประกาศยุบสภาฯโดยเร็ว รองลงมาร้อยละ 30.05 ระบุว่าควรประกาศยุบสภาหลังกฎหมายการเลือกตั้งได้รับการแก้ไขให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแล้ว ร้อยละ 22.12 ระบุว่า ไม่ต้องยุบให้อยู่ยาวไปเลยให้ครบเทอม 4 ปี ทั้งนี้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 50.34 เห็นว่าควรปรับ ครม.ครั้งใหญ่ รองลงมาร้อยละ 18.92 ระบุว่า ไม่ควรปรับ ครม. ร้อยละ 12.36 ระบุว่าควรปรับ ครม. โดยเอาคนนอกเข้ามาแทน 2 ตำแหน่งโควตาพรรค พปชร. และร้อยละ 11.82 ระบุว่าควรปรับ ครม. เฉพาะในส่วน 2 ตำแหน่งของ พปชร.
คนส่วนใหญ่กังวลปัญหาปากท้อง
ซูเปอร์โพล เปิดผลสำรวจความเห็นประชาชน 1,100 หน่วยตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 5-9 ต.ค. เรื่องตามดูปัญหาปากท้องประชาชน พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 73 กังวลมากถึงมากที่สุดเรื่องปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพ หลังจากเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติ ร้อยละ 20.9 กังวลปานกลาง มีแค่ร้อยละ 6.1 ที่ไม่กังวล และส่วนร้อยละ 49.5 อยากให้รัฐบาลช่วยเรื่องค่าครองชีพ ของกินของใช้ และสาธารณูปโภค ร้อยละ 48.2 อยากให้ช่วยด้านแหล่งเงินทุน และช่วยภาคธุรกิจ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 84.2 พึงพอใจโครงการคนละครึ่ง รองลงมา ชอบโครงการช่วยเหลือเยียวยาทุกกลุ่ม ผ่าน อบต. และการปกครองท้องถิ่น และโครงการเราเที่ยวไปด้วยกัน ขณะที่หลังสถานการณ์โควิด ส่วนใหญ่อยากให้พักชำระหนี้กับสถาบันการเงิน และธนาคาร รองลงมาช่วยลดค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าและอื่นๆไปถึงสิ้นปี ลดหย่อนภาษี เว้นภาษีนิติบุคคลตามเกณฑ์เหมาะสม และช่วยธุรกิจขนาดกลางและย่อม
พท.ปูดจัดซื้อเครื่องสูบกลิ่นตุ
ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงว่า จากการตรวจสอบการใช้งบกลาง ผ่านสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในการแก้ปัญหาน้ำท่วม จากมติ ครม.เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2564 อนุมัติงบกลาง 3,248 ล้านบาท ให้หน่วยงานต่างๆนำไปใช้ในการบริหารจัดการน้ำ ส่วนหนึ่งนำไปให้สำนักเครื่องจักรกล กรมชลประทาน ซื้อเครื่องสูบน้ำขนาด 42 นิ้ว รวม 13 เครื่อง ราคา 284 ล้านบาท เครื่องสูบน้ำขนาด 30 นิ้ว 16 เครื่อง ราคา 188 ล้านบาท และเครื่องสูบน้ำขนาด 24 นิ้ว 12 เครื่อง ราคา 94 ล้านบาท รวมวงเงิน 567 ล้านบาท โดยใช้วิธีพิสดารจัดซื้อ คือคัดเลือกร้านค้าจากบริษัทโดยตรง ไม่มีการประกวดราคา โดยใช้วิธีแบ่งซื้อแบ่ง จ้างในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้อยู่ในอำนาจของ ผอ.สำนักเครื่องจักรกลจังหวัด อนุมัติจัดซื้อได้ไม่เกินวงเงิน 25 ล้านบาท ส่อไม่โปร่งใส มีการล็อกสเปกหรือไม่ เพราะมีราคาเท่ากันหมดทุกแห่ง หลายจังหวัดในภาคเหนือ ภาคอีสาน ซื้อสินค้าจากบริษัทผู้ผลิตที่ตั้งอยู่ใน กทม. และนนทบุรี เหตุใดภาคเหนือ ภาคอีสาน ไม่มีเครื่องสูบน้ำขาย
จี้ “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ร่วมรับผิดชอบ
นายยุทธพงศ์กล่าวว่า ผู้ที่ต้องรับผิดชอบคงไม่ใช่ รมว.เกษตรและสหกรณ์ แต่เป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เพราะใช้งบกลางที่อยู่ในความรับผิดชอบของ พล.อ.ประยุทธ์ไปจัดซื้อ เหมือนเป็นการตีเช็กเปล่า รวมถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่ต้องร่วมรับผิดชอบด้วยในฐานะประธานสทนช. ที่ดูแลแผนบริหารจัดการน้ำ เพราะทุกแผนการแก้ปัญหาต้องผ่านความเห็นชอบจาก สทนช.ก่อน จึงจะอนุมัติงบได้ ดังนั้นทั้งคู่ต้องร่วมกันรับผิดชอบ อยากทราบว่าถ้าจะไปยื่นร้องเรียนต่อ พล.อ.ประยุทธ์จะกล้าตรวจสอบตัวเองหรือไม่
“เรือง” ร้องสอบพระเครื่อง ผบ.ตร.
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า เตรียมยื่นเรื่องให้กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ น.ส.ปิติกาญจน์ สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เนื่องจากพบข้อมูลบางรายการคลาดเคลื่อน ไม่สอดคล้องกับที่เคยยื่นต่อ ป.ป.ช. อาทิ ผบ.ตร.พบว่ามีรายการพระเครื่องรวม 12 องค์ มีข้อสงสัยว่าได้มาอย่างไร วิธีใด ทำไมประเมินมูลค่ามิได้ ทั้งที่ได้มาไม่นาน ส่วนของนายจตุพร แจ้งรายได้พึงประเมินตามประมวล รัษฎากรมาตรา 40 รวม 2,866,815 บาท ไม่สอดคล้องกับเงินเดือน 2,009,963 บาท และเบี้ยประชุม 984,500 บาท มีผลต่างอยู่ 127,648 บาท ขณะที่ น.ส.ปิติกาญจน์ เป็นเรื่องการลงข้อมูลทางเอกสารธุรการไม่ถูกต้อง
เร่งจัดการโกงขายของออนไลน์
อีกเรื่อง น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมกับตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เร่งดำเนินการสืบสวนเอาผิดมิจฉาชีพออนไลน์ คดีฉ้อโกงและหลอกหลวงประชาชน พบว่าตั้งแต่เดือน ม.ค.-ต.ค.2564 มีเรื่องร้องเรียนผ่านสายด่วน 1212 ส่วนใหญ่มาจากซื้อ-ขายออนไลน์ ผ่านเฟซบุ๊กสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 82.4 (19,296 ครั้ง) เว็บไซต์ร้อยละ 4.6 และอินสตาแกรมร้อยละ 4.3 เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเฉลี่ย 1,718 ครั้งต่อเดือน และนายกฯยังกำชับให้กระทรวงดีอีเอส สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งปราบปรามเว็บการพนันออนไลน์ที่มอมเมาเยาวชน ก่อให้เกิดปัญหาหนี้สินและอาชญากรรมอื่นตามมา