พท.ฉะนโยบายจัดระเบียบเอ็นจีโอ “บิ๊กตู่” ทำภาพลักษณ์ไทยแย่ในสายตาชาวโลก จวกร้อนรนไล่บี้แอมเนสตี้ฯเกินเหตุ “สมคิด” ย้อนถ้าทำตรงไปตรงมาไม่เห็นต้องกลัว “แรมโบ้” จี้แอมเนสตี้ฯหยุดละเมิดไทย ขู่จัดการขั้นเด็ดขาดจบไม่สวยแน่ ส.ว.ลากตั้งหนุน “ลุงตู่” ลุยเต็มที่ ยุฝ่ายมั่นคง-ปปง.ตรวจสอบ ขยายผลถึงพรรคการเมืองที่รับเงินต่างชาติด้วย “พิธา-เจี๊ยบ” หวด กสทช. เอาแต่ปกป้องนายทุน-ขุนศึก “บิ๊กป้อม” หวานหยดรัก “น้องตู่” ไปจนวันตาย ปลุกขวัญกวาด ส.ส.กทม.ให้ได้ 2 โหล
ยังต้องติดตามกันต่อกับปฏิบัติการจัดระเบียบกลุ่ม เอ็นจีโอของรัฐบาล หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ส่งสัญญาณเอาจริงสั่งตรวจสอบแอมเนสตี้ฯประเทศไทย ล่าสุดพรรคฝ่ายค้านออกมาท้วงติงอาจทำให้ภาพลักษณ์ไทยในสายตาชาวโลกเสียหาย ถ้าทำตรงไปตรงมาไม่เห็นต้องกลัวเอ็นจีโอ
พท.ฉะ “บิ๊กตู่” ทำภาพลักษณ์ไทยแย่
เมื่อวันที่ 27 พ.ย. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด กรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงนโยบายจัดระเบียบกลุ่มเอ็นจีโอของรัฐบาล โดยเฉพาะแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทย ว่า ความจริงแอมเนสตี้ทำกิจกรรมในหลายประเทศ รวมถึงไทยด้วย มีบทบาทหลายด้านมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ส่ง สัญญาณเช่นนี้อาจทำให้หลายประเทศจับตามองต่อเนื่อง จากเหตุที่ไทยไม่ได้รับเชิญจากสหรัฐอเมริกา ให้เข้าร่วมประชุมสุดยอดประเทศประชาธิปไตย ที่มี 110 ประเทศเข้าร่วม ดังนั้น การที่นายกฯตั้งข้อสังเกตเรื่องแอมเนสตี้ฯในช่วงนี้ อาจทำให้กระทบต่อภาพลักษณ์ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศ
จวก รบ.ร้อนรนไล่บี้แอมเนสตี้ฯ
นายอนุสรณ์กล่าวว่า ความจริงไม่ใช่เฉพาะแอมเนสตี้ฯ แต่มีหลายองค์กรที่เข้ามาขับเคลื่อนเรื่องการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยในไทย หากเข้ามาแล้วดำเนินการขัดกับหลักการประชาธิปไตยเชื่อว่าประชาชนจะไม่สนับสนุนเอง แทนที่รัฐบาลจะชี้นำ หรือส่งสัญญาณต่อต้าน ควรให้สังคมเป็นคนตัดสินจะเหมาะสม และสองคล้องกับสถานการณ์มากกว่า
ถ้าตรงไปตรงมาอย่ากลัวเอ็นจีโอ
นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จริงๆแล้วนายกฯไม่ควรไปยุ่งอะไรกับเรื่องพวกนี้ เพราะนานาชาติเขาก็มีเอ็นจีโอลักษณะนี้กันทั้งนั้น ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะองค์กรเหล่านี้เข้ามาเมืองไทยมานานพอสมควร นายกฯต้องใจเย็นๆ เรื่องนี้อย่าไปหลงเชื่อลูกน้องที่รายงานอย่างโน้นอย่างนี้ หากรัฐบาลทำถูกตรงไปตรงมา ไม่เห็นต้องไปหวาดหวั่นอะไรเลย อยากให้นายกฯคิดให้ดี ระมัดระวังท่าทีให้ดีในเรื่องนี้ เพราะจะกระทบกับภาพลักษณ์ของประเทศได้
“โบ้” จี้แอมเนสตี้ฯหยุดละเมิดไทย
นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่แอมเนสตี้ฯออกแคมเปญรณรงค์ชวนคนไทยและคนทั่วโลก ให้รัฐบาลไทยยุติการดำเนินคดีต่อนักกิจกรรมผู้เป็นจำเลยในคดีอาญานั้น เป็นการส่งเสริมการละเมิดสิทธิภายใต้หน้ากากองค์กรสิทธิมนุษยชน ประเทศที่เป็นนิติรัฐ บุคคลมีเสรีภาพทำได้ทุกอย่าง เว้นแต่สิ่งที่กฎหมายห้ามไว้ เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสงบ แต่ช่วงเวลากว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาเราได้เห็นการละเมิดทั้งกฎหมาย และสิทธิของผู้อื่น โดยอ้างคำว่าเสรีภาพ ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมที่มีกฎหมายห้ามเพื่อควบคุมโรคระบาด การแสดงออกที่ละเมิดสถาบันหลักของชาติ เกินเลยไปถึงการก่อความไม่สงบ ปาระเบิด ปาประทัดทำร้าย เจ้าหน้าที่ เผาทรัพย์สินราชการ ที่ได้รับการส่งเสริมให้ท้ายโดยองค์กรที่เรียกตัวเองว่าองค์กรสิทธิมนุษยชน
ขู่จัดการเด็ดขาดจบไม่สวยแน่
นายเสกสกลกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ไม่อาจเรียกว่าประชาธิปไตย แต่เป็นอนาธิปไตย ไม่เรียกว่าเป็นการปกป้องสิทธิ แต่เป็นการส่งเสริมการละเมิดสิทธิ ขอยืนยันว่าองค์กรที่มีพฤติกรรมดังกล่าวไม่ควรมีที่อยู่ที่ยืนในสังคมประชาธิปไตย ถ้าไม่ยึดหลักกฎหมายไทย ยังออกมามีท่าทีเคลื่อนไหวทำลายความมั่นคงแห่งรัฐไทย คนไทยคงทนไม่ไหว อาจจัดการขั้นเด็ดขาด ถึงวันนั้นจะสายเกินเยียวยา และพบจุดจบที่ไม่สวยแน่นอน
ส.ว.ลากตั้งหนุน “ลุงตู่” ลุยเต็มที่
นายสมชาย แสวงการ ส.ว. ประธานกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวว่า เห็นด้วยกับที่นายกฯสั่งให้ตรวจสอบแอมเนสตี้ฯว่าจดทะเบียนดำเนินการถูกต้องหรือไม่ เพราะบทบาทของแอมเนสตี้ฯถูกตั้งข้อสังเกตว่าชี้นำการชุมนุม สนับสนุนทางการเงินในการชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงหรือไม่ เป็นเรื่องที่หน่วยข่าว และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ควรไปตรวจสอบองค์กรเหล่านี้ และไม่ใช่แค่แอมเนสตี้ฯรวมถึงองค์กรอื่นด้วย ว่ามีการปฏิบัติเกินหน้าที่ขอบเขตหรือไม่ จะได้ทราบว่าเป็นเรื่องความผิดเฉพาะตัวบุคคลในองค์กร หรือเกี่ยวข้องกับทั้งองค์กร ถ้าเป็นเรื่องตัวบุคคลต้องแจ้งให้แอมเนสตี้สากลทราบ เพื่อเปลี่ยนตัวบุคคล แต่ถ้าเป็นเรื่องทั้งองค์กรต้องดำเนินการตามกฎหมายฐานแทรกแซงประเทศอื่น
ขยายสอบพรรครับเงินต่างชาติ
นายสมชายกล่าวอีกว่า ที่นายกฯสั่งไม่ใช่การเล่นงานฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล แต่เป็นการตรวจสอบกลุ่มทำร้ายประเทศไทยว่า มีบุคคลแฝงตัวเข้ามาทำลายความมั่นคงหรือไม่ ทุกวันนี้เรามีเอ็นจีโอเป็นหมื่นคน กว่า 90 เปอร์เซ็นต์เป็นเอ็นจีโอดี อีก 3-5 เปอร์เซ็นต์แฝงเข้ามามีวัตถุประสงค์การเมือง บางส่วนสนับสนุนความรุนแรงในการชุมนุม หรือเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนแก้รัฐธรรมนูญให้เปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่มีประเทศใดยอมได้ และควรตรวจสอบไปถึงว่ามีพรรคใดรับเงินคนต่างชาติมาสนับสนุนการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือไม่ เข้าข่ายมีความผิดยุบพรรค การประชุม กมธ.สิทธิมนุษยชนฯวันที่ 29 พ.ย. จะนำเรื่องเอ็นจีโอเข้ามาหารือ เตรียมเชิญหน่วยข่าวกรอง ปปง.มาให้ข้อมูล เพื่อนำข้อมูลที่ได้แจ้งต่อรัฐบาลต่อไป
“เจี๊ยบ” ลั่นอย่าสยบยอม กสทช.
ด้านนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์กรณี พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ขอความร่วมมือสื่อหลีกเลี่ยงการนำเสนอเนื้อหา 10 ข้อเรียกร้องที่มีต่อสถาบันฯ รวมถึงให้เลี่ยงการนำเสนอการแก้ไข ป.อาญามาตรา 112 ว่า ในฐานะ กมธ.พัฒนาการเมืองฯ จะเชิญ กสทช.เข้ามาชี้แจงประเด็นดังกล่าวสัปดาห์หน้า คิดว่าเสรีภาพสื่อเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และสื่อเองก็ไม่ควรสยบยอม จริงอยู่ที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร แต่ไม่ควรให้สื่อมาเซ็นเซอร์ตัวเอง การกระทำของ กสทช.ถือเป็นการล้ำเส้นที่แทรกแซงสิทธิเสรีภาพสื่อ เพราะหากสื่อทำผิด มีกระบวนการทางกฎหมายอยู่แล้ว อย่าปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลเหมือนช่วงทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญปี 2560
“พิธา” หวดปกป้องนายทุน–ขุนศึก
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า กสทช. รวมถึงองค์กรอิสระ (จากประชาชน) ทั้งหมด ดูขยันขันแข็งเป็นพิเศษในการปกป้องผลประโยชน์ของนายทุน ขุนศึก ศักดินา น่าผิดหวังแทนที่ กสทช. จะไปดูเรื่องการควบรวมกิจการของกลุ่มทุนเพื่อลดคู่แข่งในตลาด แต่พบว่างานสำคัญและเร่งด่วนที่สุดของ กสทช. กลับเป็นการเรียกสื่อทุกสำนักมายับยั้งการนำเสนอข่าวเกี่ยวข้องกับประเด็นปฏิรูปสถาบัน รวมถึงความพยายามให้สื่อหยุดการรายงานความเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกล ทำให้เราอดสงสัยไม่ได้ว่าหน้าที่ขององค์กรอิสระคืออะไร ตนและพรรคก้าวไกลกังวลมากว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้จะส่งผลให้เกิดการกินรวบทั้งระบบในอนาคต ไม่ใช่การหา “พันธมิตรเพื่อการพัฒนา” แต่เป็นการหา “พันธมิตรเพื่อผูกขาดตลาด” จะส่งผลกระทบทางลบมหาศาลต่อ ecosystem ของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ธุรกิจดิจิทัลชีวิตประจำวันประชาชน
พท.ชง 2 ร่างกฎหมายลูกต้น ธ.ค.
วันเดียวกัน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการเสนอร่างแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่างแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองของพรรคเพื่อไทยว่า พรรคจัดทำร่างทั้งสองเรียบร้อยแล้ว วันที่ 30 พ.ย.จะนำเข้าที่ประชุม ส.ส.พรรคให้เข้าชื่อเพื่อเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรต่อไป คาดว่าเป็นช่วงต้นเดือน ธ.ค.นี้ ในส่วนของพรรคร่วมฝ่ายค้าน แต่ละพรรคจะเสนอร่างของตัวเองต่อประธานสภาฯ เพื่อให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้พิจารณากันต่อไป ไม่ได้เสนอเป็นร่างเดียวเหมือนพรรคร่วมรัฐบาล
“สมคิด” สอน “ไพบูลย์” อย่าโชว์โง่
นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวตอบโต้นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่ออกมาขู่ติดชื่อประจาน ส.ส.ที่ไม่อยู่ขานชื่อเป็นองค์ประชุมว่า เชิญนายไพบูลย์ดำเนินการตามสบาย ถ้าจะทำแบบนี้ก็ได้ไม่มีปัญหา แต่ต้องไปปรึกษากับพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด ว่าต่อไปนี้องค์ประชุมช่วงเช้าต้องระดมกันมาให้ครบเอง ฝ่ายค้านอาจไม่ร่วมลงชื่อเป็นองค์ประชุมให้ นายไพบูลย์ต้องเข้าใจบทบาทในสภาฯด้วย ฝ่ายค้านมีแนวทางการต่อสู้ด้วยวิธีนับองค์ประชุม เพื่อให้รัฐบาลรับผิดชอบการทำงาน อย่าหลงประเด็น องค์ประชุมเป็นเรื่องของเสียงข้างมากคือรัฐบาล ไม่รู้ก็ไปถามประธานสภาฯได้ อย่ามาโยนความผิดให้ฝ่ายค้าน เราทำหน้าที่ประชุมตลอดไม่เคยมีปัญหา แต่เมื่อรัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับสภาฯก็ต้องใช้เรื่ององค์ประชุมมาต่อสู้
ปชป.มั่นใจรีเทิร์นสนาม กทม.
ที่เขตจตุจักร กทม. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความพร้อมการจัดตัวผู้ลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ในพื้นที่ กทม.ว่า พรรคพร้อมเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ พรรคเคยเหลือ ส.ส.กทม.เพียงคนเดียว มา 2-3 รอบ แต่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเราไม่ได้ที่นั่ง ส.ส.กทม.เลย แต่มั่นใจว่าครั้งหน้าจะได้รับความไว้วางใจจากชาว กทม.มากขึ้น จากการลงพื้นที่เห็นได้ชัดเจนว่าวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ดีขึ้นต่อเนื่อง เคยมีผู้แทนหนึ่งคนก็คืนกลับมาได้ 10 ถึง 20 ก็หลายครั้ง ครั้งนี้เชื่อว่าจะเป็นเช่นกัน
“ป้อม” ลั่นรัก “ตู่” ไปจนวันตาย
เมื่อเวลา 16.30 น. ที่โรงแรมรอยัลริเวอร์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้า พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานมอบนโยบายการทำงานภาค กทม. ให้กับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ฝั่งธนบุรี และว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. โดยมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิก พร้อม ส.ส.กทม. และสมาชิกพรรคในเขตพื้นที่ กทม.ฝั่งธนบุรี เข้าร่วม ช่วงแรก พล.อ.ประวิตร กล่าวนโยบายให้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.ว่า “ขอให้สามัคคีกัน ใครที่บอกว่าผมแตกแยกกับนายกฯไม่มีแน่นอน มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้แตกแยกกันได้คือความตาย 40 กว่าปี ผมกับนายกฯดูแลกันมาตลอด ยืนยันเราเป็นหนึ่งเดียวไม่เคยแตกแยก นายกฯมีหน้าที่บริหารประเทศ ผมมีหน้าที่บริหารพรรค” ขอให้ทุกคนขยันลงพื้นที่ให้หนัก ยืนยันว่าจะมาดู กทม.เอง ให้สบายใจได้ ขอให้รักกัน ไม่ทะเลาะกัน ขอให้อยู่ด้วยกัน ส่วนผู้ที่จะลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ยังไม่มีแนวโน้มสนับสนุนผู้ที่ลงในนามอิสระ 1 คน
ปลุกกวาด ส.ส.กทม.ให้ได้ 2 โหล
จากนั้น พล.อ.ประวิตรเดินพบกับสมาชิกพรรค พร้อมกล่าวนโยบายว่า พรรคต้องทำตัวแทนเขตให้ครบทั้ง 30 เขต เตรียมการเลือกตั้งครั้งหน้า อยากได้ ส.ส.มากกว่านี้ ปัจจุบันเรามี ส.ส.กทม. 12 ที่นั่ง ถือเป็นอันดับหนึ่ง แต่ยังถือว่าน้อยไป อยากได้อีก 12 คน ในภาพรวมทั้งประเทศยังแพ้อยู่ ยืนยันพลังประชารัฐไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ จำไว้ว่าเราเป็นหนึ่งเสมอ ขอให้ทุกคนร่วมมือกับพรรค ให้ประเทศชาติสุขสงบต่อไป ฝากถึงสมาชิกพรรคอย่าไปไหนอยู่กับเรา เราจะทำให้พวกท่านอยู่ดีกินดี มีสภาพที่ดีขึ้น
เลื่อนอีกนัดกระชับมิตรรัฐบาล
พล.อ.ประวิตรยังกล่าวถึงกำหนดการจัดกิจกรรม กระชับมิตรพรรคร่วมรัฐบาล ที่จะมีตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาล นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี รวมถึง ส.ส.มาร่วมงานในวันที่ 3 ธ.ค. ที่สโมสรราชพฤกษ์ นอร์ธ ปาร์ค ว่า ไม่มีแล้ว เลื่อนไปก่อน เดี๋ยวจะคุยอีกที