บุกจับ “แม่เล้า” วัย 29 คาห้องพักย่านรามคำแหง “ค้ากามเด็กสาว” ผ่านโซเชียล หักหัวคิวเด็กครั้งละ 1-3 พันบาท 

ตำรวจ กก.ดส. บุกจับ “แม่เล้า” วัย 29 คาห้องพักย่านรามคำแหง “ค้ามนุษย์” เป็นนายหน้าหาลูกค้าซื้อบริการทางเพศเด็กสาว ผ่านโซเชียล ราคาครั้งละกว่า 1 หมื่นบาท หักหัวคิวเด็กครั้งละ 1-3 พันบาท 

เมื่อวันที่ 15 ต.ค.64 ตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรีกองบัญชาการตำรวจนครบาล (กก.ดส.) บุกเข้าจับกุม น.ส.วันทนีย์ เสือเจริญ อายุ 29 ปี ข้อหา “ค้ามนุษย์โดยกระทำแก่บุคคลอายุเกิน 15 ปี แต่ไม่ถึง 18 ปี” โดยจับกุมได้ที่หอพักสตรีแห่งหนึ่ง ภายในซอยรามคำแหง 65 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. นอกจากนี้ยังจับกุม น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี ได้อีก 1 คน พร้อมของกลางเคตามีนน้ำหนัก 0.81 กรัม

โดย พ.ต.อ.ธีระชัย ชำนาญหมอ รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนกองบังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล รรท.ผกก.ดส เปิดเผยว่า จากการสืบสวนทราบว่ามีการค้าประเวณีเด็กผ่านโซเซียลมีเดีย โดยใช้กลุ่มไลน์เป็นช่องทางในการติดต่อรับงาน ซึ่งมี น.ส.วันทนีย์ ทำหน้าที่เป็นนายหน้าหาลูกค้า เพื่อซื้อบริการทางเพศกับผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็ก  กระทั่งต่อมาชุดสืบสวนทราบว่า จะมีการนำ น.ส.เอ อายุ 16 ปี มาขายบริการที่ รร.มาเมซอง เลียบด่วนรามอินทรา จึงได้ทำการช่วยเหลือ น.ส.เอ ทั้งนี้ขณะเข้าทำการช่วยเหลือพบเคตามีน้ำหนัก 0.81 กรัม จึงคุมตัวไปสอบสวน

จากการสอบสวน น.ส.เอ ให้การว่า ตนได้เงินเป็นจำนวนเงิน 11,000 บาท โดย น.ส.วันทนีย์ จะได้รับค่าตอบแทนจากการเป็นธุระจัดหาจำนวน 1,000 บาท และบางครั้งจะถูกหักอีก 2,000 พันบาท เป็นค่าโมเดลลิ่งในกลุ่มไลน์ ซึ่งภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขยายผลจับกุม น.ส.วันทนีย์ ได้ในเวลาต่อมา 

ขณะที่ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว ตนได้เน้นย้ำสั่งการให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนทุกมิติ ซึ่งการกระทำละเมิดต่อเด็กทั้งทางเพศ การใช้ความรุนแรง ใช้เด็กกระทำผิดกฎหมาย และอื่นๆในทางกฎหมายกำหนดโทษไว้สูงกว่ากรณีปกติ ซึ่งการค้าประเวณีเด็กเป็นความผิดฐานค้ามนุษย์ด้วย สำหรับการปราบปรามการกระผิดเกี่ยวกับเด็กและการค้ามนุษย์นั้น เป็นนโยบายที่รัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญในการปราบปราม ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดอยู่ในระดับเทียร์ 2  “watch list” จากสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ทาง บช.น.ยังให้ความสำคัญกับคดีที่เกี่ยวข้องกับเด็กและสตรี กรณีนี้จะได้ขยายผลถึงเครือข่ายผู้เกี่ยวข้องผู้ได้รับประโยชน์ และผู้ใช้บริการเด็ก รวมทั้งที่มาของยาเสพติดเพื่อตัดวงจรยาเสพติดต่อไป