การเดินขบวนประท้วงเนื่องในวันแรงงานในทวีปยุโรปกลับมาอีกครั้งแล้ว หลังจากทำได้อย่างจำกัดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพราะโควิด-19 โดยเกิดเหตุปะทะที่ฝรั่งเศสจากการต่อต้านประธานาธิบดีมาครง
สำนักข่าว เอพี รายงานว่า ประชาชนหลายหมื่นคนออกมาเดินขบวนในหลายเมืองทั่วยุโรป เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 พ.ค. 2565 เนื่องในวันแรงงาน ซึ่งเป็นเหมือนธรรมเนียมปฏิบัติที่จะจัดเป็นประจำทุกปี เพื่อยกย่องเหล่าแรงงานและเรียกร้องให้รัฐบาลพยายามทำเพื่อประชาชนของตัวเองมากขึ้น
ในฝรั่งเศสมีการประท้วงเกิดขึ้นมากกว่า 250 จุดทั่วประเทศ เพื่อแสดงความกดดันให้นาย เอ็มมานูเอล มาครง ซึ่งเพิ่งชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัย 2 ออกนโยบายโดยให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นอันดับแรก รวมทั้งประณามแผนการของเขาที่จะเพิ่มเกณฑ์เกษียณอายุจาก 62 ปี ไปเป็น 65 ปีด้วย
ความตึงเครียดปะทุขึ้นที่กรุงปารีส หลังผู้ชุมนุมบางส่วนเป็นกลุ่มชาวชุดดำสวมหน้ากาก ก่อเหตุทุบทำลายกระจกธนาคาร, ร้านอาหารจานด่วน และสำนักงานอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ตำรวจต้องเข้ามาระงับเหตุ มีการยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่หลายครั้ง แต่ไม่อาจหยุดยั้งหญิงสาวคนหนึ่งจากการโจมตีพนักงานดับเพลิงที่พยายามดับไฟที่ลุกไหม้บนถนนได้
นายเฌราลด์ ดาร์มาแนง รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศสระบุว่า จนถึงตอนนี้มีผู้ชุมนุมถูกจับกุมแล้ว 45 ราย รวมถึงหญิงสาวรายดังกล่าว มีตำรวจได้รับบาดเจ็บ 8 นาย เขายังประณามผู้ก่อเหตุรุนแรงว่า เป็นอันธพาลที่พยายามยุติสิทธิ์ในการประท้วง
ส่วนที่ตุรกี ตำรวจเคลื่อนไหวควบคุมการประท้วงในนครอิสตันบูลอย่างรวดเร็ว โดยปิดล้อมผู้ประท้วงไว้ที่จัตุรัสทัคซิม จับกุมตัวผู้ประท้วงโดยไม่ได้รับอนุญาตถึง 164 คน
ที่กรุงเบอร์ลิน ของเยอรมนี นางฟรานซิสกา กิฟเฟย์ นายกเทศมนตรีขึ้นกล่าวปราศรัยวันแรงงานที่งานชุมนุมของสภาพการค้ากลุ่มหนึ่ง ท่ามกลางเสียงประท้วงดั่งสนั่น ก่อนที่การพูดของเธอถูกขัดจังหวัด หลังจากมีผู้ชุมนุมบางคนปาไข่เข้าใส่เธอ แม้จะพลาดเป้าก็ตาม โดยเธอกล่าวในเวลาต่อมาว่า การปาไข่ไม่มีประโยชน์และไม่มีคุณค่าทางการเมืองใดๆ
ด้านอิตาลีเปิดให้ชุมนุมได้อย่างเต็มที่แล้ว หลังจากหยุดนิ่งเพราะโควิดมานาน 2 ปี มีการจัดคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ในกรุงโรม หลังการเดินขบวนและประท้วงในหลายเมืองทั่วประเทศ ซึ่งนอกจากการเรียกร้องให้พัฒนาสถานภาพของแรงงานแล้ว ผู้ประท้วงจำนวนมากยังเรียกร้องไห้สงครามของรัสเซียในยูเครนจบลง
ส่วนที่มาซิโดเนียเหนือ มีแรงงาน, คนว่างงาน และผู้เกษียณอายุหลายพันคนออกมาชุมนุมอย่างสงบในเมืองหลวงกรุง สโกเปีย เรียกร้องให้ขึ้นค่าแรงและเคารพสิทธิแรงงาน ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงในยุโรปเนื่องจากสงครามที่เกิดขึ้น โดยในมาซิโดเนียเหนือ มีเงินเฟ้อเมื่อคิดเป็นรายปีในเดือนมีนาคมแตะ 8.8% สูงสุดในรอบ 14 ปี