ผลวิจัยใหม่พบว่า ไวรัสโควิดโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 กับ BA.5 สามารถหลบแอนติบอดีในร่างกายของผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้วหรือเคยติดเชื้อมากกว่า มากกว่าโอมิครอนดั้งเดิม
สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานอ้างข้อมูลการวิจัยชิ้นใหม่จากนักวิจัยของศูนย์การแพทย์ ‘เบธ อิสราเอล ดีคอนเนส’ (Beth Israel Deaconess Medical Center : BIDMC) ของโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด พบว่า ไวรัสสายพันธ์ุย่อยของโควิดโอมิครอนที่เพิ่งพบใหม่ได้แก่ BA.4 และ BA.5 มีความสามารถในการหลบการตอบสนองของแอนติบอดีในกลุ่มคนที่ได้รับวัคซีนครบรวมถึงบูสเตอร์ กับคนที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาแล้วได้
ข้อมูลดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ผ่านวารสารการแพทย์ชื่อดังอย่าง ’New England Journal of Medicine’ ในวันพุธที่ 22 มิ.ย. 2565 พบว่า ระดับของแอนติบอดีประเภท ‘neutralizing antibody’ ที่ถูกกระตุ้นโดยวัคซีนหรือการติดเชื้อครั้งก่อน มีระดับต่ำกว่าถึง 3 เท่าเมื่อเจอกับ BA.4 และ BA.5 หากเทียบกับโอมิครอนสายพันธุ์ดังเดิมอย่าง BA.1 และสายพันธ์ุ BA.2
อนึ่ง แอนติบอดีประเภท neutralizing antibody ทำหน้าที่ยับยั้งไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ ในกรณีของโควิด-19 มันจะเข้าไปจับกับตัวรับ (receptor) บนโปรตีนหนามของไวรัส (spike protein) ไม่ให้ไปจับกับโปรตีน ACE2 บนผิวเซลล์ของมนุษย์ได้
ดร.แดน บารูค ผู้เขียนรายงานและผู้อำนวยการระบุว่า ข้อมูลของพวกเขาชี้ว่าโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยนี้ มีโอกาสนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อในประชากรกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันจากวัคซีนในระดับสูง รวมถึงภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจากการติดเชื้อ BA.1 และ BA.2 แต่พวกเขายังเชื่อว่า ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนยังมีการป้องกันเพียงพอไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยรุนแรงเพราะ BA.4 กับ BA.5
ผลวิจัยล่าสุดสอดคล้องกับการค้นพบก่อนหน้านี้ของนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโคลอมเบีย ซึ่งพบว่า ไวรัส BA.4 และ BA.5 มีโอกาสที่จะหลบแอนติบอดีในเลือดของผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนครบแล้วรวมถึงบูสเตอร์ มากกว่าสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ ของโอมิครอน เริ่มความเสี่ยงที่มันจะฝ่าการป้องกันของวัคซีนไปทำให้คนติดเชื้อ และการติดเชื้อซ้ำ แม้แต่ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อครั้งก่อน
ตอนนี้ไวรัส BA.4 กับ BA.5 กำลังแพร่กระจายในสหรัฐฯ มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเป็นต้นเหตุของการติดเชื้อถึง 35% ของผู้ป่วยรายใหม่ทั้งหมดในสัปดาห์ก่อน เพิ่มจากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่มีอัตราอยู่ที่ 29% ทำให้มันกลายเป็นสายพันธุ์ย่อยของโควิด-19 ที่แพร่กระจายเร็วที่สุด ณ ตอนนี้ และคาดว่ามันจะกลายเป็นเชื้อสายพันธุ์หลักในสหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร และพื้นที่อื่นๆ ในยุโรปภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า