ผู้นำเชเชน ประกาศ! ลูกชายวัยรุ่น 3 คน เตรียมไปช่วยรัสเซียรบในยูเครน อ้างเพื่อปกป้องครอบครัว-บ้านเกิด

ผู้นำสาธารณรัฐเชเชนในรัสเซีย ประกาศว่าลูกชายวัยรุ่น 3 คนของเขา ซึ่งมีอายุเพียง 14-16 ปี เตรียมไปช่วยรัสเซียรบในยูเครน อ้างเพื่อปกป้องครอบครัวและบ้านเกิด

สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า นายรัมซาน คาดีรอฟ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเชเชน หนึ่งในเขตปกครองในรัสเซีย ประกาศในวันจันทร์ที่ 3 ต.ค. 2565 ว่า อีกไม่นานลูกชายอายุ 14, 15 และ 16 ปี ของเขา จะเดินทางไปยูเครนเพื่อช่วยกองทัพรัสเซียรบในแนวหน้า

นายคาดีรอฟเปิดเผยเรื่องดังกล่าวผ่านโพสต์บนแอปพลิเคชัน เทเลแกรม โดยระบุว่า ผู้เป็นพ่อควรสอนวิธีปกป้องครอบครัว, ผู้คน และปิตุภูมิแก่ลูกชาย ซึ่งลูกชายทั้ง 3 คน ของเขาเริ่มฝึกฝนทางทหารมาตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กมากกว่านี้ และถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะได้ไปมีประสบการณ์การต่อสู้จริง

โพสต์ของนายคาดีรอฟยังแนบคลิปวิดีโอแสดงให้เห็นภาพลูกชายขอเขา ฝึกยิงอาวุธปืนหลากหลายชนิดในลานฝึกด้วย

ทั้งนี้ รัสเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่ลงนามสนธิสัญญาสหประชาชาติ ที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ไปเข้าร่วมการศึกโดยตรง ขณะที่ศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ (ICC) กำหนดว่า การให้เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ไปร่วมการต่อสู้ใดๆ เป็นอาชญากรรมสงคราม อย่างไรก็ตาม รัสเซียไม่ยอมรับอำนาจในการตัดสินคดีของ ICC

อนึ่ง สาธารณรัฐเชเชนต่อสู้เพื่อแยกตัวเป็นอิสระจากรัสเซียมานานนับทศวรรษ จนกระทั้งนายคาดีรอฟ ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ได้ขึ้นมาเป็นผู้ปกครองในปี 2550 หลังนายปูตินแต่งตั้งเขาเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐแห่งนี้ และทำให้สถานการณ์ในเชเชนมีเสถียรภาพมากขึ้นในระยะหลัง

อย่างไรก็ตาม นายคาดีรอฟถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า ปกครองด้วยการกดขี่ และยอมให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างแพร่หลาย

เขายังเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนการทำสงครามในยูเครนของปูติน และส่งกองทัพของเชเชนไปร่วมรบด้วยตั้งแต่แรกเริ่ม แต่กองทัพเชเชนในยูเครนกลับถูกหลายฝ่ายครหาว่า มุ่งเน้นแต่การอัพโหลดคลิปวิดีโอลงโซเชียลมีเดีย แต่ไม่ไปร่วมการต่อสู้ในแนวหน้า ขณะที่นายคาดีลอฟก็ถูกกล่าวหาว่า สนับสนุนสงครามเพราะไม่มีบุคคลอันเป็นที่รักไปร่วมการต่อสู้ด้วย

ความเพลี่ยงพล้ำของรัสเซียที่คาร์คิฟ และโดเนสตก์ ช่วงเดือนที่ผ่านมา ทำให้นายคาดีรอฟออกมาวิพากษ์ผู้นำกองทัพรัสเซียอย่างหนัก และเรียกร้องให้รัฐบาลเครมลินมีมาตรการเด็ดขาดมากขึ้นในการโจมตียูเครน รวมถึงใช้อาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธี หรือ ระเบิดนิวเคลียร์ขนาดเล็ก แต่รัฐบาลตอบกลับว่า การใช้อาวุธเช่นนั้นไม่ควรตัดสินใจด้วยอารมณ์