ในรัสเซีย มีการใช้คำพูดว่า “รถถังรัสเซียไม่กลัวโคลน” กันอย่างแพร่หลาย จนมีการใช้ถ้อยคำดังกล่าวเป็นชื่อรายการทางโทรทัศน์ รวมทั้งเป็นข้อความที่ชาวรัสเซียมักเขียนอยู่บนกระจกหน้าต่างรถของตนด้วย แต่คำพูดที่ว่านี้อาจสะท้อนยุทธศาสตร์ทางทหารของรัสเซียว่าพร้อมจะส่งกำลังเข้าบุกยูเครนได้ในทุกสภาพอากาศและสถานการณ์เช่นกัน
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีไบเดนแห่งสหรัฐอเมริกา เตือนว่า ขณะนี้รัสเซียอยู่ในฐานะพร้อมจะบุกยูเครน เพราะว่า “หากสภาพพื้นดินในบริเวณทางเหนือของกรุงเคียฟยังแข็งตัว” และไม่เป็นโคลนตมจากอุณหภูมิที่อุ่นขึ้น กรุงเคียฟซึ่งเป็นเมืองหลวงของยูเครนอยู่ห่างจากพรมแดนด้านที่ติดกับเบลารุสเพื่อนบ้านทางเหนือและเป็นประเทศพันธมิตรที่สำคัญของรัสเซียเพียง 75 กิโลเมตรเท่านั้น โดยขณะนี้รัสเซียกำลังซ้อมรบร่วมกับเบลารุสอยู่ด้วย
คำพูดของประธานาธิบดีไบเดนดังกล่าวไม่ได้เป็นครั้งแรกที่สะท้อนความเชื่อของเจ้าหน้าที่ฝ่ายอเมริกันที่ว่า รัสเซียต้องอาศัยสภาพพื้นดินที่แข็งตัวเพื่อให้สะดวกต่อการเคลื่อนพลทางบก และอาจจะเป็นเหตุผลที่มาของการคาดคะเนว่ารัสเซียอาจส่งกำลังเข้าบุกยูเครนในไม่ช้าคือในช่วงฤดูหนาวนี้
แต่นักวิเคราะห์หลายคนผู้ติดตามศึกษายุทธศาสตร์ทางทหารของรัสเซียเชื่อว่า กองทัพรัสเซียมียุทโธปกรณ์อื่นๆ เช่น เครื่องบินทิ้งระเบิดและจรวด นอกเหนือจากรถถังและรถหุ้มเกราะซึ่งเหมาะกับการใช้งานสำหรับสภาพพื้นดินที่เป็นโคลนตม ดังนั้นรัสเซียจึงไม่ต้องกลัวเรื่องสภาพอากาศที่จะอุ่นขึ้นเมื่อย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิซึ่งจะส่งผลให้สภาพพื้นดินเป็นหลุมเป็นบ่อ และอาจเป็นอุปสรรคสำหรับการเคลื่อนพลของรถถังโดยทั่วไป
ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารเหล่านี้เชื่อว่า รัสเซียอาจเปิดฉากการรุกด้วยการโจมตีทางอากาศและการยิงจรวดโดยมีเป้าหมายหลักคือที่ตั้งทางทหารของยูเครน
โดยนักวิเคราะห์ทางทหารผู้หนึ่งคือ Mykola Sunhurovskyi จากสถาบันคลังสมอง Razumkov Center ในกรุงเคียฟของยูเครนเชื่อว่า หากประธานาธิบดีปูตินตัดสินใจเริ่มโจมตี รถถังกับเรือรบจะไม่ใช่กำลังที่อยู่ในแนวหน้า แต่จะเป็นอากาศยานและจรวดขีปนาวุธมากกว่า โดยเป้าหมายในลำดับแรกน่าจะเป็นระบบป้องกันตนเองทางอากาศและระบบต่อต้านขีปนาวุธของยูเครน รวมทั้งที่ตั้งกองบัญชาการทหารและระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่างๆ ซึ่งหากรัสเซียสามารถทำลายเป้าหมายเหล่านี้ลงได้แล้ว กองทัพรัสเซียก็จะอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบทางอากาศและมีความเหนือกว่าสำหรับกำลังทั้งทางบกและทางเรือด้วย
ขณะนี้นักวิเคราะห์ด้านการทหารของยูเครนบางคนยอมรับว่า ระบบป้องกันทางอากาศของตนนั้นยังไม่เพียงพอที่จะรับมือกับการโหมโจมตีอย่างหนักจากรัสเซีย และรัฐบาลกรุงเคียฟได้ร้องขอความช่วยเหลือจากประเทศพันธมิตรตะวันตกสำหรับระบบป้องกันตนเองทางอากาศที่ทันสมัยมากขึ้น นอกเหนือไปจากอาวุธภาคพื้นดินซึ่งสหรัฐฯ อังกฤษ รวมทั้งประเทศอื่นๆ ได้ให้ความสนับสนุนไปก่อนหน้านี้แล้ว
ในแง่ของกำลังทางเรือนั้น กระทรวงกลาโหมของรัสเซียได้แพร่ภาพเรือรบจากกองเรือทะเลดำของรัสเซียกว่า 30 ลำที่ออกเดินทางไปซ้อมรบในทะเลทางใต้ของยูเครน ในขณะที่ทางฝ่ายยูเครนเองมีเพียงเรือขนาดเล็กในกองเรือยามฝั่งซึ่งไม่สามารถจะรับมือกับกองกำลังนาวีที่เหนือกว่าได้ เพราะยูเครนได้สูญเสียกำลังทางเรือส่วนใหญ่ไปหลังจากที่รัสเซียผนวกคาบสมุทรไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตนอย่างผิดกฎหมายเมื่อปี 2014
ทั้งนี้ Mykola Sunhurovskyi นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงของยูเครนให้ความเห็นว่า วิธีเดียวที่ยูเครนสามารถจะใช้เพื่อยับยั้งการรุกของรัสเซียได้ คือ ท่าทีของกลุ่มประเทศตะวันตกซึ่งพร้อมจะสนับสนุนยูเครน รวมทั้งความพร้อมของชาวยูเครนนับล้านคนที่จะยืนหยัดต่อสู้กับรัสเซียจนวันสุดท้าย
ทางด้านรัสเซียเองซึ่งปฏิเสธเรื่องแผนจะส่งทหารเข้าบุกยูเครนนั้น ทำเนียบเครมลินบอกปัดแนวคิดที่ว่ากองทัพรัสเซียต้องอาศัยสภาพพื้นดินที่แน่นและแข็งตัวไม่เป็นโคลนตมเพื่อเปิดการรุก โดย Konstantin Sivkov นักวิเคราะห์ด้านการทหารของรัสเซียชี้ว่า ถ้าจะมีการใช้กำลังทางบกนั้น รถถังของรัสเซียมีน้ำหนักเบากว่ารถถังของชาติตะวันตกมากและจะไม่ติดหล่มง่ายๆ อีกทั้งรถถังของรัสเซียมีความพร้อมมากกว่าสำหรับการเคลื่อนตัวบนพื้นที่ที่เป็นโคลนตม พร้อมทั้งทิ้งท้ายด้วยว่า พื้นดินที่เป็นหลุมเป็นบ่อนั้นจะเป็นอุปสรรคสำหรับรถถังของประเทศตะวันตกเท่านั้นเอง