รองโฆษก ตร.เตือนภัยกรณีกลุ่มหาคู่เด็กบนสื่อสังคมออนไลน์ อาจถูกหลอกลวงเชื่อมโยงถึงการค้ามนุษย์ เสี่ยงทำผิด ก.ม. แนะผู้ปกครองเฝ้าระวังการใช้สื่อโซเชียลของบุตรหลาน และปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้อง
เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 64 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรียนกรณีที่ตรวจพบบนสื่อสังคมออนไลน์ว่าได้มีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ประกาศหาคู่ที่เป็นเด็ก ซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงว่าจะเกิดการกระทำความผิด และอาจถูกหลอกลวงเชื่อมโยงไปถึงการค้ามนุษย์ ในปัจจุบันนี้ที่ยังคงอยู่ในห้วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้สื่อสังคมออนไลน์ได้กลายเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น และเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของประชาชนในด้านของการติดต่อสื่อสารต่างๆ ผนวกกับเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์ได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งก็อาจทำให้มีผู้ที่ไม่หวังดีแฝงตัวเข้ามากระทำความผิดในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการหลอกลวง หรือการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กและสตรีทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งก็อาจเชื่อมโยงถึงการค้ามนุษย์ด้วยเช่นกัน
ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีการตรวจพบกลุ่มหาคู่เด็กหลายช่วงอายุ หลายกลุ่มบนสื่อสังออนไลน์ ซึ่งในกลุ่มก็มีการโพสต์ข้อความในลักษณะการยื่นข้อเสนอต่างๆ ในการรับเด็กมาเลี้ยงดู เช่น พร้อมดูแลค่าใช้จ่าย ตามใจทุกอย่าง เป็นต้น ทั้งนี้ยังไม่พบการเผยแพร่ภาพลามกอนาจารในกลุ่มดังกล่าว แต่กลุ่มดังกล่าวก็มีความสุ่มเสี่ยงที่จะผิดกฎหมาย จึงได้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเข้าไปตรวจสอบกลุ่มดังกล่าว และมีการประสานไปยังเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ ให้เข้าไปตรวจสอบเด็กและครอบครัวในกลุ่มดังกล่าวที่สามารถพิสูจน์ตัวตนได้ เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง และสร้างการรับรู้ รวมถึงสร้างแนวคิดที่ถูกต้องในการใช้สื่อสังคมออนไลน์กับเด็กและครอบครัว อีกทั้งเจ้าหน้าที่ก็จะดำเนินการสืบสวนสอบสวนและพิสูจน์ทราบผู้ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มดังกล่าวต่อไป
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้กำชับและสั่งการไปยังหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งทำการสืบสวนสอบสวนและปราบปรามการกระทำความผิดซึ่งเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กและสตรีอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อให้มีผลการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม และเร่งสร้างการรับรู้ให้กับพี่น้องประชาชนถึงปัญหาดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันและสามารถหลีกเลี่ยงป้องกันอาชญากรรมในลักษณะดังกล่าว
การกระทำลักษณะดังกล่าวนั้นเข้าข่ายความผิดหลายมาตรา ได้แก่ ความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่ถึง 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควร มีโทษจำคุก 3-15 ปี ปรับตั้งแต่ 60,000-300,000 บาท หากมีการพาเด็กไปกระทำอนาจาร จะเป็นความผิดฐานพาเด็กอายุไม่ถึง 15 ปีไปเพื่อการอนาจาร แม้เด็กจะยินยอมก็ตาม มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ฐานยุยงส่งเสริมหรือยินยอมให้เด็กแสดงหรือกระทำการอันมีลักษณะลามกอนาจารฯ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอฝากประชาสัมพันธ์แนวทางการหลีกเลี่ยงป้องกันปัญหาดังกล่าวดังนี้
1.ผู้ปกครองควรควบคุมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของบุตรหลานอย่างใกล้ชิด อย่าปล่อยให้บุตรหลานใช้สื่อสังคมออนไลน์เพียงลำพัง เนื่องจากอาจจะถูกหลอกลวงได้
2.ปลูกฝังค่านิยมในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่ถูกต้องให้กับบุตรหลาน และสอนรู้จักแยกแยะว่าสิ่งใดถูกต้อง สิ่งใดไม่ถูกต้อง สิ่งใดอันตรายหรือควรหลีกเลี่ยง
3.ขอให้ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ช่วยกันเป็นหูเป็นตาในการตรวจสอบการกระทำความผิดบนสื่อสังคมออนไลน์ เพราะทุกคนล้วนเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันปัญหาดังกล่าว และทำให้สังคมออนไลน์น่าอยู่ยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ หากพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิดสามารถแจ้งไปยัง Call Center ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติหมายเลข 191 หรือ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง.