สยบข่าวลือว่าตาย “เวนิส บ.ข.ส.” อดีตแชมป์มวยโลก ตั้งการ์ดโชว์ความฟิต เล่าบทเรียนชีวิตจากจุดสูงสุด
(10 มี.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.นครพนม ความคืบหน้าเกี่ยวกับ กรณีมีข่าวลือ การเสียชีวิตของ อดีตนักมวย ฉายา เวนิส บ.ข.ส. หรือ นายประเวศ พลเชียงขวาง หรือ เวศ ปัจจุบัน อายุ 72 ปี อดีตนักมวยแชมป์โลกชื่อดัง หมัดซ้ายพิฆาต ที่เคยมีอนาคตรุ่งโรจน์ เมื่อ 50 ปีก่อน ภูมิลำเนาอยู่ บ้านโคกสว่าง ต.ดอนนางหงส์ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ภายหลังชีวิตตกอับครอบครัวแตกแยก จากปัญหาทำธุรกิจส่วนตัวล้มละลาย
โดยเจ้าตัวยืนยันว่า หลังล้มป่วยเข้ารักษาที่โรงพยาบาลนครพนม ประมาณ 2 เดือน และออกมาฟักฟื้นที่บ้านพัก ปัจจุบัน มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีเพียงโรคความดัน เบาหวาน ทั่วไป ตามวัยชรา ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ ที่ยังคิดถึงให้ความสนใจ เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ บางคนห่วงใย มาสอบถามความเป็นอยู่ และมาดูแลช่วยเหลือ ตามสภาพ ตนยืนยันไม่ขอเรียกร้องความช่วยเหลือ เพราะปัจจุบันใช้ชีวิตตามหลักพอเพียง ตามพระราชดำริ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ในปั้นปลายของชีวิต ได้ค่าใช้จ่าย จากเบี้ยผู้สูงอายุ 700 บาท และ สวัสดิการ จากการกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นเงินเดือนละ 3,000 บาท ถือว่าเพียงพอ เพราะมีพี่สาวกับลูกชาย คอยดูแลอีกทาง มีเพียงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทั่วไป แต่หากคนที่อยากดูแลช่วยเหลือไม่ขัดศรัทธา เพียงไม่ขอเรียกร้อง เนื่องจากชีวิตที่ผ่านมา เกิดจากความผิดพลาดในชีวิต เกี่ยวกับการทำธุรกิจล้มเหลว ทำให้หมดเนื้อหมดตัว เงินลงทุนไปกว่า 10 ล้านบาท จนครอบครัวแตกแยก และกลับมาใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายที่บ้านเกิด
หลังจากหายป่วย แต่ยังมีโรคประจำตัวคือ โรคความดัน เบาหวาน แต่ไม่สามารถกินยาได้ เพราะแพ้ยา ต้องใช้วิธีการออกกำลังกายเบาๆ เดินไปมาช่วงเช้าและเย็น และขอใช้ชีวิตตามอรรถภาพ ฝากเป็นแนวทางชีวิต สำหรับลูกหลานแวดวงการกีฬา วงการมวย หากเราเคยรุ่งโรจน์ จะต้องวางแผนชีวิตในช่วงวัยแก่ชรา เพราะไม่มีใครสารมารถช่วยเหลือเราได้ไปตลอดชีวิต สุดท้ายต้องดูแลตัวเอง
อย่างไรก็ตามมาถึงวันนี้ยังภาคภูมิใจสูงสุดที่ได้ สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย และความทรงจำที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่เคยลืม เคยเข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกทั้งพระองค์ ได้เสด็จทอดพระเนตรการชกมวย ด้วยพระองค์เอง หลังจากชนะแล้ว ได้ลงจากเวทีเพื่อเข้าเฝ้ากราบฝ่าพระบาท พระองค์ทรงตรัสถามว่า เจ็บมั้ย เหนื่อยมั้ย เก่งมากหนู ขอให้รักษาแชมป์ไว้นานๆ แบบรุ่นพี่ และยังมีการทอดพระเนตรด้วยแววตายิ้มแย้ม เมตตา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น หาที่สุดมิได้ และเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต อีกทั้งได้รับพระราชทานถ้วยรางวัลเกียรติยศ จากในหลวงรัชกาลที่ 10 ด้วย
ด้าน นายสุมนต์ชัย พลเชียงขวาง อายุ 42 ปี ลูกชาย เวนิส บขส. เปิดเผยว่า มาถึงวันนี้ถึงพ่อจะไม่มีทรัพย์สิน หรือทรัพย์สมบัติให้ แต่มีความภาคภูมิใจที่พ่อได้สร้างชื่อเสียงให้ครอบครัว สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยมาในอดีต ถือว่ายากมากคนที่จะมีโอกาสได้แชมป์โลก อย่างไรก็ตามตนบอกพ่อเสมอว่า ครอบครัวไม่เคยโทษใคร และไม่เรียกร้องสิทธิอะไร ที่ได้ทุกวันนี้ เกี่ยวกับเบี้ยผู้สูงอายุ สวัสดิการ จาก กกท. ถือว่ามากพอแล้ว เพราะสิ่งที่ผิดพลาดเป็นการทำธุรกิจของพ่อที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ปั้นปลายชีวิต ยังมีลูก รวมถึง พี่สาว และป้า ที่คอยดูแล ตามอรรถภาพ ขอบคุณทุกกำลังใจที่ยังเป็นห่วง และให้กำลังใจเสมอมา ขอดูแลพ่อให้ดีที่สุด
สำหรับเส้นทางชีวิตของ นายประเวศ พลเชียงขวาง หรือ เวนิส บ.ข.ส. ซ้ายพิฆาต ถือว่าเป็น อดีตนักมวยแชมป์โลกชื่อดัง ที่เคยมีอนาคตรุ่งโรจน์ เมื่อเกือบ 50 ปีก่อน เดิมเส้นทางชีวิต มีใจรักในอาชีพนักมวยมาตั้งแต่เด็กสมัยเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา เนื่องจากชีวิตครอบครัวยากจน จึงอยากมีรายได้จากการชกมวยเพื่อแลกค่าตัว ทำให้เดินสายรับจ้างชกมวยตามงานวัดตั้งแต่ค่าตัวไม่กี่ร้อยบาท เนื่องจากพี่ชายทำค่ายมวยในชื่อ ค่ายพายทอง จนกระทั่งมีแวว จึงได้ไต่เต้าขึ้นมาตั้งแต่มวยวัด จนถึงระดับมวยอาชีพ
จนกระทั่งเรียนจบชั้น มศ. 3 ในสมัยนั้น จากโรงเรียนปิยะมหาราชาลัย โรงเรียนประจำจังหวัดนครพนม จึงได้มีคนมาชักชวนไปอยู่กับค่ายมวยชื่อดัง ค่ายมวย บขส. ที่ กทม. โดยเริ่มจากมวยแทนจนกระทั่ง เป็นนักมวยขึ้นชั้น จากมวยไทยสู่มวยสากล ทำให้ได้แชมป์มวยรอบครั้งแรก ศึกมวยรอบพ็อบท็อป เมื่อประมาณ 2508 ได้ค่าตัวประมาณ 1,500 บาท กลายเป็นแรงบันดาลใจมุ่งมั่นในการฝึกซ้อม
จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่มวยแชมป์ ฟลายเวทประเทศไทย (เวทีลุมพินี) เมื่อปี 2513 แชมป์ฟลายเวท WBC เมื่อปี 2515 – 2516 ซึ่งถือเป็นแชมป์สูงสุดของนักมวยระดับโลก และแชมป์แบนตัมเวทประเทศไทย เวทีราชดำเนิน เมื่อปี 2522 – 2524 ซึ่งเคยได้รับค่าตัวสูงสุดที่ประมาณ 1.2 ล้านบาท ทำให้ชีวิตอนาคตรุ่งเรืองสูงสุดในยุคนั้น ไม่แตกต่างนักมวยชื่อดัง และดาราดังระดับประเทศ จนมีวงการละครมาทาบทามไปแสดงละคร เมื่อประมาณ 2524
หลังจากอำลาวงการมวย อายุได้ประมาณ 32 ปี โดยทาง บริษัทขนส่งได้บรรจุเข้าเป็นพนักงาน ในตำแหน่งพนักงานต้อนรับ แต่ตัดสินใจลาออกหลังทำงานได้ประมาณ 10 ปี เพื่อกลับบ้านเกิดหันมาทำงานเปิดบริษัทจัดหางานส่งแรงงานไปต่างประเทศ ทำธุรกิจได้ประมาณ 5 ปี เกิดปัญหาขาดทุนจากบริษัทใหญ่ล้ม ทำให้ทรัพย์สินที่เคยมีหลาย 10 ล้านบาท หายไปในระยะเวลาไม่กี่ปี จนเป็นหนี้สิน ชีวิตตกต่ำ เพราะไม่มีรายได้ที่มั่นคง ที่สำคัญครอบครัวกับแตกแยกไปคนละทาง เพื่อเอาตัวรอด จนกระทั่งสุดท้ายบั้นปลายของชีวิต ต้องมาทำไร่ทำนา อาศัยรายได้เบี้ยยังชีพคนแก่ ใช้ชีวิตพอเพียงที่บ้านเกิด