เทรดเดอร์ จับตาแนวรับบิทคอยน์ที่ 32,000 เหรียญสหรัฐ เป็นแนวรับที่สำคัญสะท้อนต้นทุนเฉลี่ยของ 2 บริษัท “Microstrategy และ Tesla” ในตลาดหุ้นที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุดในโลก
ทันโลกกับ Trader KP ระบุว่า ราคา Bitcoin ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จนเข้าใกล้ระดับราคาต้นทุนของ 2 บริษัทในตลาดหุ้นที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุดในโลกอย่าง Microstrategy และ Tesla แล้ว
การย่อตัวลงมาของ Bitcoin ในครั้งนี้เป็น “วิกฤต” หรือ “โอกาส” กันแน่ ??
-ราคา Bitcoin ร่วงลงเป็นวันที่ 7 ในรอบ 8 วันที่ผ่านมา จนทำให้ราคา Bitcoin ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 34,000 เหรียญ หรือ -15% จากจุดสูงสุดของอาทิตย์ที่ผ่านมาแล้ว จนแตะระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 4 เดือน
นักลงทุนพากันเทขาย Bitcoin และเหรียญคริปโตอื่นๆ ท่ามกลางความกังวลว่าทาง FED อาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาเงินเฟ้อสหรัฐได้สำเร็จ จนทาง FED อาจต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วและสูงกว่าที่คาด
นอกจากนั้นหากเศรษฐกิจยังไม่เติบโตกลับมาจากที่หดตัวไปในไตรมาสที่ 1 สหรัฐก็อาจต้องเจอกับปัญหา “Stagflation” ที่นักลงทุนกลัว และจะไม่เป็นผลดีต่อราคา Bitcoin
นักลงทุนหลายฝ่ายอาจคิดว่า “Bitcoin เป็นเพราะอุปทานมีจำกัด แต่ในความเป็นจริงแล้วความเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin ยังคงไปในทิศทางเดียวกับสินทรัพย์เสี่ยงมากกว่า ทำให้ราคายังคงถูกเทขายเมื่อสภาพคล่องหายไปจากตลาดการเงิน
หรืออยู่ในสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น จนกว่าวันที่ราคา Bitcoin จะหยุดเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับหุ้นเทคและสินทรัพย์เสี่ยง วันนั้นในอนาคต Bitcoin ก็อาจจะกลายมาเป็น “สินทรัพย์ประกันเงินเฟ้อได้”
แต่อย่าคาดหวังว่ามันจะเกิดขึ้นภายในเร็ววันนี้ ความสัมพันธ์อาจต้องใช้เวลาเป็นปีๆกว่า Bitcoin จะเริ่มเทรดด้วย Use Case หรือปัจจัยพื้นฐานของตัว Bitcoin เอง
Trader ทั่วโลกพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ให้จับตามองแนวรับ Bitcoin ที่ 32,000เหรียญให้ดี เพราะถ้าหลุดระดับนี้จะมีแรงขายทางเทคนิคเข้ามาอีกแน่ !
ตอนนี้ตัวชี้วัดทางเทคนิคหลายตัวนั้นกำลังชี้ว่าราคา Bitcoin กำลังอยู่ในช่วงขาลงระยะสั้น เพราะว่า Bitcoin ได้ทำลายแนวรับระยะสั้นมาได้เรื่อยๆ
แต่ Trader ทั่วโลกยังคงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ให้จับตามองแนวรับ Bitcoin ที่ 32,000 เหรียญให้ดี เพราะว่าระดับ 32,000 เหรียญนี้เป็นระดับต่ำสุดที่ Bitcoin เคยทำไว้ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา
หากแนบรับนี้หลุดไปได้อีก ก็อาจทำให้มีแรงเทขายทางเทคนิค หรือนักลงทุนหลายคนยอมยกธงขาวและขายขาดทุนออกไปนั่นเอง
นอกจากนั้น 32,000 เหรียญสหรัฐ ยังเป็นแนวรับที่สำคัญด้วยอีกหนึ่งเหตุผล นั้นก็คือมันเป็นต้นทุนเฉลี่ยของ 2 บริษัทในตลาดหุ้นที่ถือครอง Bitcoin มากที่สุดในโลกอย่าง Microstrategy และ Tesla
1.Micristrategy บริษัท Software ของ Michael Saylor ถือครอง Bitcoin อยู่ทั้งสิ้น 129,218 BTC ที่ราคาเฉลี่ย 30,700 เหรียญสหรัฐ นับเป็นมูลค่าเกือบ 2 แสนล้านบาท (มากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 ของโลก หากนับตามบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้น)
2 Tesla บริษัทผลิตรถยนต์ EV ของ Elon Musk ถือครอง Bitcoin อยู่ทั้งสิ้น 42,000 BTC ที่ราคาเฉลี่ย 31,700 เหรียญสหรัฐ นับเป็นมูลค่าเกือบ 6 หมื่นล้านบาท (มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก)
หากราคา Bitcoin ร่วงลงมาต่ำกว่าราคาเฉลี่ยของแต่ละบริษัทที่อยู่ใกล้ 32,000 เหรียญนี้ จะทำให้บริษัทเหล่านี้ทยอยเข้ามาซื้อ Bitcoin เพิ่มมากขึ้นหรือไม่?
ทาง Microstrategy เชื่อว่า Michael Saylor คงอยากซื้อเพิ่มแน่ๆ แต่ปัญหาคือไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะยังมีสภาพคล่องเหลือพอไหม เพราะทุกวันนี้ก็ได้เปลี่ยนเงินสดไปเป็น Bitcoin เสียหมดแล้ว (Saylor ซื้อแบบไม่สนระดับราคาเลย) แถมยังเอา Bitcoin ไปค้ำประกันเพิ่มอีกด้วย จนอาจทำให้ไม่เหลือทางที่จะซื้อเพิ่มแล้ว
แต่ทาง Tesla นั้นไม่แน่ ปัจจุบันทาง Tesla ถือ Bitcoin เป็นปริมาณไม่ถึง 10% ของเงินสดที่มีอยู่เท่านั้น และจากรายงานที่ Tesla ยื่นต่อกลต. สหรัฐ ที่ระบุว่า
“ทางบริษัทเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ที่บริษัทจะใช้เป็นสินทรัพย์ในการลงทุนและเป็นตัวแทนเงินสด” ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่าทาง Tesla อาจออกมาซื้อ Bitcoin เพิ่มเพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุนลง
ทำให้นักลงทุนควรติดตามปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพราะเชื่อว่าทั้ง 2 บริษัทจะไม่ยอมติดดอยอยู่เฉยๆแน่ แต่คงมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจออกมา
#ทันโลกกับTraderKP