เปิดใจ ทายาทผู้สร้าง “ครูกายแก้ว” ยืนยันไม่มีบูชายัญหมา-แมว แนะการการบูชาที่ถูกต้อง ชี้ไม่จำเป็นต้องเบียดเบียนชีวิตใคร
จากกระแสเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่อง ครูกายแก้ว ที่กำลังตกเป็นที่พูดถึงในสังคมเป็นอย่างมากเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา จนกระทั่งมาถึงพิธีการวิธีบนบานศาลกล่าวที่คนในโซเซียลกลุ่มหนึ่งอ้างว่าถ้าจะบูชาครูกายแก้วให้สัมฤทธิ์ผลต้องบูชายัญด้วยสุนัขและแมว จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างหนักนั้น
ล่าสุด วานนี้ (16 ส.ค.) เมื่อเวลา 20.00 น. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังเทวลัยสถานบางใหญ่ ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี พบนายณัฐวุฒิ รัตนสุข อายุ 42 ปี ผู้ก่อตั้งเทวาลัยพระพิฆเนศบางใหญ่ ซึ่งภายในเทวาลัยแห่งนี้มีรูปปั้นครูกายแก้วขนาดเท่าคนจริง ประทับอยู่ที่มานานกว่า 4 ปี เปิดให้ผู้คนที่มีความเชื่อได้เดินทางมาสักการะได้ตลอด 24 ชั่วโมง
นายณัฐวุฒิ รัตนสุข ผู้ก่อตั้งเทวาลัยสถานแห่งนี้ เปิดเผยว่า เทวาลัยบางใหญ่สร้างเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 62 เพื่อสืบต่อเจตนารมณ์อาจารย์สุชาติ รัตนสุข ตนในฐานะที่เป็นหลานของอาจารย์สุชาติ ซึ่งได้ร่ำเรียนสืบทอดวิชาต่อมาจากอาจารย์สุชาติ ไม่ต้องการให้วิชาเหล่านี้สูญหายไป
จนเห็นว่าในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีซึ่งเป็นบ้านเกิดของอาจารย์สุชาติเอง ยังไม่มีเทวาลัยสถานที่เปิดให้ผู้คนเข้ามากราบสักการะอย่างเป็นทางการ จึงได้สร้างเทวาลัยแห่งนี้เพื่อให้ทุกคนมีที่พึ่งทางจิตใจไม่ต้องเดินทางไกล และได้อัญเชิญรูปปั้นของครูบากายแก้วมาตั้งเมื่อปี 62 เพื่อให้ผู้คนมากราบไหว้ขอพรตามความเชื่อได้ 24 ชั่วโมง ไม่มีวันปิด
นายณัฐวุฒิ เปิดเผยว่า ที่มาของครูกายแก้ว เกิดจากพระสงฆ์รูปหนึ่งที่จังหวัดลำปาง ได้ไปนั่งกรรมฐานที่นครวัด จนไปพบกับดวงจิตของครูกายแก้ว จากนั้นก็ได้นำรูปปั้นครูกายแก้วติดตัวกลับมาด้วย ก่อนรูปปั้นดังกล่าวจะตกไปอยู่กับ อ.ถวิล มิลินทจินดา แล้วก็ตกทอดมาสู่ อ.สุชาติ รัตนสุข
ซึ่ง อ.สุชาติ ก็ได้นำรูปปั้นเก็บไว้ที่สำนักงานที่ย่านบางพลัดมานานกว่า 40 ปี จนต่อมา อ.สุชาติได้นิมิตรเห็นรูปลักษณ์ รูปร่างของครูกายแก้ว จึงได้เรียกช่างมาปั้นรูปเหมือนครูกายแก้วตามแบบที่นิมิตรเห็นคือเป็นรูปครูกายแก้วในปางยืนซึ่งเป็นองค์ปฐมต้นแบบ ก่อนจะมาสร้างเป็นปางนั่งในภายหลัง
นายณัฐวุฒิ เปิดเผยอีกว่า ตนในฐานะหลานของ อ.สุชาติ ซึ่งได้ศึกษาเรียนรู้หลักต่างๆ มาจาก อ.สุชาติ ซึ่งเป็นต้นสายของการบูชาครูกายแก้ว ท่านได้กำชับเตือนกับตนเอาไว้ว่า ห้ามเด็ดขาด อย่านำของสดไปไหว้บูชาครูกายแก้ว ให้นำแต่ผลไม้ ดอกไท้ ขนมหวาน หรือทองคำไปไหว้สักการะเท่านั้นพอ ไม่มีของสดหรือของมึนเมาใดๆ ท่านได้สั่งห้ามไว้เด็ดขาด
ซึ่งที่ผ่านมาจะเป็นที่ทราบกันดีในกลุ่มผู้นับถือครูกายแก้วที่มีอยู่ประมาณ 300 – 400 คน ว่าครูกายแก้วไม่ชอบของสด การตั้งโต๊ะทำพิธีจึงใช้วิธีจำลองขนมหรือถั่วต่างๆ ให้เป็นรูปของสดต่างๆ แทน ทั้งหัวหมู ไก่ เป็ด กุ้ง เป็นต้น
จนกระทั่งเมื่อเริ่มมีกลุ่มผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้น อ.สุชาติ จึงตัดสินใจนำรูปปั้นครูกายแก้วออกไปตั้งให้ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาได้กราบไหว้ ที่แรกคือที่เทวาลัยพระพิฆเนศห้วยขวางและที่อาเขต
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ประเด็นที่มีผู้คนในโซเซียลไปแนะนำว่าให้นำสุนัขหรือแมวไปบูชายัญครูกายแก้วนั้น เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะจากที่ตนศึกษากับ อ.สุชาติ มาไม่เคยทำพิธีบูชาด้วยของสดแม้แต่อย่างเดียว การจะบูชาครูกายแก้วไม่จำเป็นต้องไปเบียดเบียนชีวิตใครก็สามารถขอพรได้แล้ว แต่นี้แค่เริ่มต้นก็ไปทำกรรมแล้วไม่เป็นมงคล แล้วจะไปรับสิ่งที่เป็นมงคลได้อย่างไร
ตนขอพูดและฝากไปถึงคนที่คิดวิธีดังกล่าวด้วยในฐานะคนต้นสาย เพราะที่ผ่านมาตนก็กราบไหว้บูชามา 3-4 ปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาทำตามกระแสในตอนนี้ การบูชาครูกายแก้วต้องบูชาให้ถูกต้อง มากราบไหว้ท่านด้วยความศรัทธา และท่านก็ไม่ใช่เทพและไม่ใช่อสูร เพราะชื่อของท่านก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นครู
ซึ่งในแต่ละปี อ.สุชาติ เองก็จะทำการปั้นรูปบูชาครูต่างๆ ของท่านออกมาปีละองค์ ดังนั้นเมื่อต้นสายยังไม่ไหว้ของสดเลย ก็อย่าไปพิเรนทร์คิดอะไรเองขึ้นมา ให้ทำตามแบบที่เขาปฎิบัติกันมาเท่านั้น
เรื่องการขอพรหากขอการเงินก็ให้จับมือซ้ายแล้วอธิษฐาน การงานก็ให้จับมือขวาแล้วอธิษฐานแค่นั้น เมื่อได้ผลสำเร็จก็แค่กลับมาไหว้ท่านเท่านั้น ครูกายแก้วไม่ได้ต้องการอะไรจากเรา นอกจากสัจจะเท่านั้นที่เป็นเรื่องสำคัญ
ส่วนกระแสวัตถุมงคลของครูกายแก้วที่กำลังมีราคาสูงขึ้นไปมากนั้น ตนเชื่อว่าวัตถุมงคลของครูกายแก้วจะรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ก็ล้วนแต่มีความศักดิ์สิทธิ์เท่ากัน และยืนยันว่าทางต้นสายนี้ไม่มีการปั่นราคาวัตถุมงคลให้ขึ้นราคา
นายณัฐวุฒิ กล่าวปิดท้ายว่า กระแสโจมตีครูกายแก้วที่บ้างบอกว่าไม่มีในประวัติศาสตร์หรือเป็นตัวเวตาลบ้างนั้น ตนขอเรียนว่าเรื่องบางสิ่งบางอย่างต้องลองเปิดใจดูก่อน บางเรื่องเป็นปัจจัตตังที่รู้ได้เฉพาะตน ซึ่งตนก็ไม่ขอไปก้าวล่วงครูบาอาจารย์ของใคร เพราะแต่ละคนตนก็เชื่อว่าทุกคนก็ย่อมมีครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือกันทุกคนอยู่แล้ว
อย่างองค์พระพิฆเนศเองหรือพระพรหมก็ดี ตนถามว่าเคยมีใครเห็นตัวเป็นๆ ของท่านไหม ทุกอย่างอยู่ที่ความศรัทธาและความเชื่อของบุคคล แค่ความเชื่อและความศรัทธานั้นไม่ได้ไปเบียดเบียนชีวิตใคร เราก็มีสิทธิศรัทธาในความเชื่อของเราเอง
ตนขอยืนยันตรงนี้ว่าครูกายแก้วคือครูบาอาจารย์ เวตาลก็คือเวตาล ครูกายแก้วก็คือครูกายแก้วอย่าเอาไปเหมารวมกัน ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของครูกายแก้วนั้น ที่ผ่านมาก็ลูกศิษย์หรือคนที่มาบนบานขอพรจนสำเร็จเดินทางนำสร้อยทองคำมาถวายเป็นประจำ ซึ่งปัจจุบันมีนำหนักรวมประมาณ 50 บาท ซึ่งทางเทวลัยก็จะนำทองเหล่านี้ไปหลอมสร้างพระประธานในวาระต่างๆ ต่อไป
ด้าน นายวันชัย อายุ 36 ปี อาชีพพ่อค้าขายอาหาร ที่เดินทางมากราบไหว้ครูกายแก้ว เปิดเผยว่า ตนเดินทางมากราบไหว้ครูบากายแก้วหลายครั้งแล้ว ส่วนใหญ่จะมาขอพรในเรื่องโชคลาภและค้าขาย เพราะตนมีอาชีพค้าขายของตามตลาด ซึ่งหลังจากมาขอพรก็รู้สึกว่าจะค้าขายดีขึ้น ยอดขายดีขึ้น ซึ่งเทวาลัยแห่งนี้นอกจากจะมีครูกายแก้วแล้ว ยังมีเทพเจ้าอีกหลายองค์ให้มากราบไหว้ขอพรกันอีกหลายองค์
ขณะที่ น.ส.ธิดาพร อายุ 31 ปี อาชีพรับราชการ เปิดเผยว่า ตนตะเดินทางมากราบไหว้ครูบากายแก้วอาทิตย์ละครั้งเพราะบ้านอยู่ไม่ไกล ส่วนใหญ่จะมาขอพรเรื่องโชคลาภ การงาน ซึ่งก็ได้ผลทุกครั้ง ถูกหวยบ่อย ส่วนหน้าที่การงานก็ดีขึ้นได้ขยับตำแหน่งขึ้น ยิ่งช่วงที่ตนไม่สบายใจก็จะเดินทางมาบ่อยขึ้น
เรื่องครูกายแก้วเป็นเรื่องความเชื่อเป็นวิจารณญานของแต่ละบุคคล แต่ตนเชื่อ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะตนมากราบไหว้เป็นประจำร่วมปีกว่าแล้ว