เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รัฐบาลเอลซัลวาดอร์ส่งตัวนักโทษหลายพันคนไปยัง “เรือนจำขนาดใหญ่” ที่เพิ่งเปิดเมื่อไม่นานมานี้ นับเป็นขั้นตอนล่าสุด ของสงครามปราบปรามอาชญากรรม
สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานจากกรุงซันซัลวาดอร์ ประเทศเอลซัลวาดอร์ เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ว่า สมาชิกแก๊งอาชญากรรมที่ถูกกล่าวหาประมาณ 2,000 คน ถูกย้ายตัวไปยังเรือนจำที่ถือว่า “มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคลาตินอเมริกา” ซึ่งรับผู้ต้องขังได้ราว 40,000 คน
“ที่นี่จะเป็นบ้านหลังใหม่ของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะไม่สามารถทำร้ายประชาชนได้อีก” ประธานาธิบดีนายิบ บูเคเล ผู้นำเอลซัลวาดอร์ ทวีต
ทั้งนี้ บูเคเลร้องขอให้พันธมิตรของเขาในรัฐสภาเอลซัลวาดอร์ อนุมัติสภาวะยกเว้น เมื่อเดือน มี.ค. 2565 ซึ่งเป็นการระงับสิทธิตามรัฐธรรมนูญบางส่วน หลังการฆาตกรรมที่มีสาเหตุมาจากกลุ่มอาชญากร พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้ต้องสงสัยมากกว่า 64,000 คน ถูกจับกุมตามมาตรการต่อต้านแก๊งอาชญากรรม ซึ่งอนุญาตให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าควบคุมตัวโดยไม่ต้องมีหมายจับ, ทำให้รัฐบาลเข้าถึงการสื่อสารของประชาชน และส่งผลให้ผู้ถูกคุมขังไม่มีสิทธิที่จะมีทนายความอีกต่อไป
ขณะที่ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ประชาชนคนบริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อในนโยบายนี้ อีกทั้งยังมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยหลายสิบคนในการควบคุมตัวของตำรวจด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การผลักดันต่อต้านแก๊งอาชญากรรมของบูเคเล ยังคงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในกลุ่มชาวเอลซัลวาดอร์ โดยรัฐมนตรีความมั่นคงของประเทศกล่าวว่า จะดำเนินการต่อไปจนกว่าอาชญากรทั้งหมดจะถูกจับกุม
เครดิตภาพ : REUTERS