แกนนำ “ก้าวหน้า-ก้าวไกล” แท็กทีมร่วมรำลึก 45 ปี 6 ตุลา 19 – จี้รัฐยุติความรุนแรงทั้งการปราบปราม-นิติสงคราม-เปิดพื้นที่พูดคุย
วันนี้ 6 ต.ค. ที่ลานประติมากรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ แกนนำพรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า ประกอบด้วยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า, นางสาวพรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า, นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล, และนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ร่วมพิธีรำลึกครบรอบ 45 ปีเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 และวางพวงมาลารำลึกวีรชนผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ ร่วมกับญาติวีรชน คนเดือนตุลา ภาคประชาสังคม นักเรียน นิสิต นักศึกษา และตัวแทนพรรคการเมืองต่าง ๆ
พร้อมกันนี้ แกนนำทั้ง 4 ได้ร่วมกันให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนถึงการร่วมพิธีรำลึกในวันนี้ ซึ่งในส่วนของนายพิธา ระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 45 ปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบัน อาจสรุปได้ว่าเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็น 6 ตุลา, พฤษภา 35, เมษา-พฤษภา 53 มาจนถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ล้วนแต่มีรากเหง้าของปัญหาเดียวกันที่ไม่เคยได้รับการชำระ นั่นคือความรุนแรงของรัฐ ที่เข้าปราบปรามคนเห็นต่าง ไม่อนุญาตให้คนที่มีความคิดแตกต่างได้ดำรงอยู่ในสังคม และวัฒนธรรมการพ้นผิดลอยนวล ที่วันนี้ยังไม่มีผู้ต้องรับผิดต่อ 41 ชีวิตที่ต้องสูญเสียไปในวันนั้น
มาจนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ยังคงมีเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ได้รับความรุนแรงทั้งจากการปราบปรามบนท้องถนนและการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ มีเยาวชนที่โดนคดีมาตรา 112 ถึง 148 คน และมีผู้ถูกดำเนินคดีความทางการเมืองสำหรับคนเห็นต่าง 2 พันกว่าคดี
วันนี้รัฐไทยยังไม่คิดที่จะฟังเสียงของประชาชน ไม่คิดที่จะรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่รับฟังความฝันของคนรุ่นใหม่ ไม่รับฟังความต้องการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ไม่ประนีประนอม พร้อมใช้ความรุนแรงกับประชาชน
นานพิธา กล่าวต่อไป ว่าพรรคก้าวไกลมีข้อเสนอ นั่นคือรัฐต้องยุติความรุนแรงกับประชาชนและนิติสงครามโดยทันที พฤติกรรมของรัฐในวันนี้สะท้อนถึงความแข็งตัวของรัฐ ยิ่งใช้ความรุนแรงเข้าสู้กับอนาคตของชาติ การชุมนุมแต่ละครั้งยิ่งจะปะทุรุนแรงมากขึ้น การใช้คดีความเข้าปราบปรามประชาชนก็ไม่ได้ทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนแปลงไป
“เราจำเป็นต้องเปิดพื้นที่ปลอดภัย ให้คนรุ่นใหม่ได้พูดความจริงแห่งยุคสมัย เปิดให้มีการประนีประนอมระหว่างกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกอย่างต้องแก้ด้วยกระบวนการทางการเมือง ยอมรับความเห็นต่างให้เป็นเรื่องปกติ มีแต่ทำเช่นนี้เท่านั้น ผลลัพธ์ความขัดแย้งทางการเมือง 45 ปีที่ผ่านมาจึงจะถูกชำระและเดินหน้าต่อไปได้” นายพิธากล่าว
ด้าน นายชัยธวัช ระบุว่า สิ่งที่เราเรียกร้องในวันนี้ คือรัฐต้องยุติการดำเนินคดีความทางการเมืองต่าง ๆ รวมทั้งการควบคุมและสลายการชุมนุมที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ เพราะยิ่งจะทำให้เกิดความคับแค้นคับข้องใจในหมู่ประชาชน และจะทำให้ประชาชนเลือกตอบโต้ด้วยความรุนแรงมากข้ึน
การดำเนินคดีการเมือง ไม่ว่าจะเป็นมาตรา 112 หรือมาตรา 116 ล้วนเป็นสิ่งเดียวกับที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 คือการเป็นอาชญากรรมทางความคิด ไม่อนุญาตให้ประชาชนพูดหรือแสดงความเห็น ซึ่งการทำเช่นนี้ไม่มีทางนำไปสู่ทางออกให้แก่สังคมไทยได้
“เราเคยมีบทเรียนแล้วว่าคดีความเหล่านี้ต้องใช้มาตรการทางการเมืองเข้าแก้ไข เปิดพื้นที่ปลอดภัยให้มีการพูดคุยกัน ยุติการดำเนินคดีทางการเมืองต่อประชาชนทันที และในอนาคตเราต้องมีการนิรโทษกรรมให้แก่คดีทางการเมืองที่เกิดกับประชาชนเหล่านี้ทั้งหมด” นายชัยธวัชกล่าว
ในส่วนของ นายธนาธร ระบุว่า ในวันนี้เรามารำลึกถึงอดีต ไม่ใช่เพียงเพื่ออดีตเท่านั้น แต่เรายังต้องการส่งเสียงว่าเราต้องการเห็นอนาคตแบบไหน นั่นคืออนาคตที่คนในสังคมอยู่ด้วยกันอย่างโอบอ้อมอารี ความเห็นต่างได้รับการยอมรับ มีแต่อนาคตแบบนี้เท่านั้น ที่ประทศไทยจะก้าวไปข้างหน้าได้ การรำลึก 6 ตุลาของเรา ไม่ใช่การรำลึกแต่เพียงอดีตและคุณูปการของคนเดือนตุลา แต่เรามาป่าวประกาศ ว่าสังคมไทยที่เราอยากสร้างไปด้วยกันจะเป็นเช่นไรด้วย
ด้าน นางสาวพรรณิการ์ ระบุว่า 45 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นแล้วว่าความอำมหิตที่รัฐได้กระทำต่อประชาชนยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ยังคงไม่มีการเรียนรู้บทเรียนจากความรุนแรง ซึ่งนี่คือสิ่งที่ประชาชนยังคงต่อสู้อยู่ในวันนี้ เหมือนดั่งที่ได้ต่อสู้มาเมื่อ 45 ปีที่แล้ว และการต่อสู้ยังคงต้องดำเนินต่อไป ฝากไปถึงพลเอกประยุทธ์ และผู้ที่ค้ำจุนอำนาจของรัฐบาลว่า อำนาจปืนไม่อาจลบล้างหรือขัดขวางอนาคตของประเทศได้ อนาคตของประเทศเป็นของประชาชน ส่วนอนาคตของพวกคุณอยู่ในเรือนจำ
สำหรับพวงมาลารำลึกของพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า ได้มีการเขียนข้อความ “คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย” และ “ดาวยังพรายศรัทธาเย้ยฟ้าดิน” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ที่ประพันธ์โดยจิตร ภูมิศักดิ์ อันเป็นเพลงที่นิยมขับขานในหมู่คนเดือนตุลา มีความหมายถึงการยืนหยัดต่อสู้ของประชาชน ที่แม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคและความยากลำบากมากมาย แต่ก็ยังคงไม่ย่อท้อ แม้ในยามที่มืดมิดที่สุด ก็ยังคงมีแสงดาวส่องนำทางเป็นความหวังและกำลังใจให้กับการต่อสู้ต่อไป