แม่ทัพภาค 4 ปรับยุทธวิธี เพิ่มความเข้มข้นดูแลพื้นที่ กดดันโจรใต้ ชูแผนพัฒนา เสริมความมั่นคง สู่สันติสุข

  • สถานการณ์ภาคใต้ยังระอุ หลังคนร้ายระดับแกนนำลอบก่อเหตุหลายจุดในพื้นที่ 3 จชต. ในห้วงหน่วยงานทหาร ตำรวจ สับเปลี่ยนกำลังช่วงปีงบประมาณ ส่งผลให้ตำรวจตาย 2 เจ็บ 4 อส.ทพ. ดับ 2 ราย
  • แม่ทัพภาคที่ 4 ปรับยุทธวิธี เสริมความเข้มข้นในการดูแลพื้นที่ พร้อมกดดันทำให้โจรใต้เริ่มเคลื่อนไหว โดยให้ จนท.ดำเนินตามขั้นตอนอย่างเหมาะสม บนพื้นฐานของหลักสิทธิมนุษยชน เลี่ยงการใช้อาวุธ เน้นการบังคับใช้กฎหมาย
  • เหตุความมั่นคง ในพื้นที่ จชต. ห้วงปีงบประมาณ 2564 แม้จะเพิ่มขึ้น ในรูปแบบการลอบวางระเบิด และวางเพลิง แต่ในแง่ความสูญเสีย ผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บลดลง เมื่อเทียบกับปี 62 ถึง 63 กองทัพเดินหน้ามุ่งสู่จุดหมายสร้างสันติสุขในพื้นที่ให้แก่พี่น้องประชาชน

เหตุการณ์ความโหดร้ายที่กลุ่มโจรใต้กดระเบิดลอบสังหารตำรวจ สภ.จะแนะ ระหว่างขับรถกลับจากไประงับเหตุในพื้นที่ ทำให้รถ 2 คันของเจ้าหน้าที่ ที่วิ่งตามกันมาถูกแรงระเบิดรถพลิกคว่ำ ส่งผลให้ตำรวจเสียชีวิตทันที 2 นาย คือ ร.ต.ท.ธีระศักดิ์ เครือคำ รอง สวป.สภ.จะแนะ และ ส.ต.อ.ปริวัตร อุดม ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม และบาดเจ็บอีก 4 นาย บริเวณถนนสายศรีสาคร – จะแนะ ต.ช้างเผือก อ.จะแนะ จ.นราธิวาส

ในเวลาใกล้กันในพื้นที่ อ.บาเจาะ เจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย ประกอบด้วยตำรวจ ทหารพรานนาวิกโยธิน และทหารพราน กรม ทพ.45, 46 และ 48 ปฏิบัติการกดดันไล่ล่ากลุ่มคนร้ายจากพื้นที่รอยต่อ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เป็นเวลา 2 วัน จนทราบแหล่งกบดานซ่องสุมของกองกำลังติดอาวุธกลุ่มนายรอมือลี กาแจกาซอ แกนนำระดับปฏิบัติการ ซึ่งมีหมายจับ ป.วิ อาญา และอีกหลายหมาย อาศัยป่าเสม็ด บ้านฮูแตยือลอ ต.บาเระใต้

เมื่อเจ้าหน้าที่วางกำลังโอบล้อมพื้นที่ และเดินเข้าไปยังจุดหมายพบกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ จำนวน 5 ถึง 6 คน กำลังอาศัยอยู่ที่เพิงพักชั่วคราว โดยใช้ไม้ไผ่สร้างเป็นที่สำหรับนอนจำนวน 3 – 4 หลัง เจ้าหน้าที่จึงได้แยกย้ายโอบล้อม แต่ฝ่ายคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่ จนทั้ง 2 ฝ่าย ได้เปิดฉากยิงปะทะนานกว่า 20 นาที ส่งผลให้ อส.ทพ.วัฏจักร พรหมนุ้ย รอง ผบ.ชป.ร้อย ทพ.4603 กรมทหารพรานที่ 46 ถูกกระสุนปืนของคนร้ายที่บริเวณหน้าอกและลำตัวเสียชีวิต ส่วนโจรใต้อาศัยความชำนาญหลบหนีไปได้

ขณะเดียวกันคนร้ายเปิดฉากใช้อาวุธปืนสงครามซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ หน่วยเฉพาะกิจ ตชด.ที่ 44 หรือ ชุดเดลต้า ที่บริเวณเนินเขาบ้านตายา ม.1 ต.สุวารี อ.บาเจาะ ขณะเจ้าหน้าที่สับเปลี่ยนกำลัง ทำให้ ด.ต.วิเชียร จันทรัตน์ และ ส.ต.อ.ธนพงษ์ อินนอก บาดเจ็บทันที 2 นาย พบปลอกกระสุนปืนอาก้า และเอ็ม.16 ตกอยู่จำนวน 25 ปลอก ร.ต.อ.นิพนธ์ อ่อนรักษ์ หน.ชุดฉก.ตชด.ที่ 44 จึงนำกำลังร่วม 3 ชป.ปิดล้อมตรวจค้น เชื่อว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุต้องการตอบโต้เจ้าหน้าที่ ที่ไล่ล่า กดดันพื้นที่ป่าเสม็ด

และย้อนไปเมื่อ 22 ก.ย. ที่ผ่านมา ขณะที่ อส.ทพ.ชนะชัย ยอดทอง ทหารหน่วย ฉก.ทพ.42 ถูกคนร้ายไม่ทราบจำนวนขว้างระเบิดแสวงเครื่อง แบบไปป์บอมบ์ ใส่ฐานปฏิบัติการชุดคุ้มครองตำบลบ้านน้ำบ่อ หมู่ที่ 2 ตำบลบ้านน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จ.ปัตตานี เสียชีวิตทันที พร้อมมีกำลังพลบาดเจ็บอีก 1 นาย

เช่นเดียวกับวันที่ 30 ส.ค. 64 พล.ต.คมกฤช รัตนฉายา ผบ.ฉก.ปัตตานี และ พ.อ.วรเดช เดชรักษา ผบ.กกล. ทหารพรานจังหวัดชายแดนใต้ ได้ปิดล้อมจับกลุ่มแนวร่วม ตามหมายจับจำนวนมาก โดยโจรใต้กลุ่มนี้เคลื่อนไหวปฏิบัติการในพื้นที่ สายบุรี จ.ปัตตานี ทหารจึงได้กระจายกำลังปิดล้อมในป่าละเมาะ แต่คนร้ายกลับใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่ เพื่อเปิดทางหลบหนี แต่ทหารยังใช้ความอดทนด้วยการเจรจาเพื่อให้คนร้ายมอบตัว กลับไม่ยอม และเกิดการปะทะคนร้ายถูกวิสามัญทราบชื่อ นายสุกรี สาอิ มีหมายจับ 8 หมาย ประวัติก่อเหตุยิงตำรวจ จนท.รวมทั้งอีกหลายคดี

ซึ่งในหลายเหตุการณ์ในช่วงเดือน กค. ถึง ส.ค. ที่ผ่านมา พบว่าคนร้ายยังพยายามก่อเหตุ สร้างสถานการณ์ และสร้างความหวาดกลัวให้ชาวบ้าน โดยมุ่งกระทำต่อเจ้าหน้าที่ข้าราชการเป็นหลัก เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ อยู่ในช่วงรอยต่อการสับเปลี่ยนกำลังของโยกย้ายตามปีงบประมาณ ซึ่งวงจรการปฏิบัติของแกนนำกลุ่มขบวนการต่างๆ มักจะใช้โอกาสนี้ทำให้เกิดสถานการณ์ความไม่สงบ หวังชิงพื้นที่ข่าว และเรียกร้องให้ฝ่ายต่างๆ สนใจ

ขณะที่ พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.รมน.ภาค 4 เผยว่า ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์พร้อมกำชับหน่วยให้ดำเนินการตามขั้นตอนการใช้กำลังอย่างเหมาะสม ดำเนินการบนพื้นฐานของหลักสิทธิมนุษยชน 

“ผมสั่งให้เลี่ยงการใช้อาวุธกับผู้ก่อเหตุรุนแรง เน้นประสานการทำงานร่วมกับผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำศาสนาในพื้นที่ และญาติของผู้ก่อเหตุรุนแรง เข้าพูดคุย เจรจา เกลี้ยกล่อม ให้ยอมเข้ามอบตัว เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสีย แม้ตลอดระยะเวลา 2 วันที่ผ่านมายังไร้วี่แววการเข้ามอบตัวของผู้ก่อเหตุรุนแรงแต่อย่างใด”

ทหารพยายามบังคับใช้กฎหมายต่อกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเหมาะสม ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง เพื่อลดการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งกำลัง และอาวุธ เน้นการเจรจาพูดคุยเป็นสำคัญโดยใช้กำลังเท่าที่จำเป็น รวมทั้งทำความเข้าใจต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ในความจำเป็นของสถานการณ์ ที่ต้องกันผู้ไม่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย รวมถึงอาจมีการปิดกั้นเส้นทางเข้าออกด้วย เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติภารกิจของกำลังเจ้าหน้าที่ และสิ่งสำคัญอาศัยความร่วมมือเชิญผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำศาสนาในพื้นที่ รวมทั้งญาติของผู้ก่อเหตุรุนแรง เข้าเจรจาเกลี้ยกล่อม ให้ยอมเข้ามอบตัว และให้มีการปฏิบัติอย่างรัดกุม เพื่อไม่เกิดการสูญเสียของทั้ง 2 ฝ่าย

ขณะที่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ซึ่งมีคดีความมั่นคงหลายหมายเคลื่อนไหวหลบซ่อนเพื่อเตรียมก่อเหตุสร้างสถานการณ์ในห้วงสับเปลี่ยนกำลังของเจ้าหน้าที่ กระทั่งล่าสุดกลุ่มก่อความไม่สงบยังคงพยายามก่อเหตุก่อกวนสร้างสถานการณ์ในหลายพื้นที่ เป้าหมายมุ่งไปยังเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ใช้วิธีการซุ่มยิง ลอบวางระเบิด 

“กองทัพภาคที่ 4 ขอให้พี่น้องประชาชนได้มีความมั่นใจในมาตรการการควบคุมพื้นที่และการบังคับใช้กฎหมายของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งได้ดำเนินการติดตามในทุกคดีที่เกิดขึ้น พร้อมขอความร่วมมือไปยังพี่น้องประชาชนทุกคน อย่าได้ให้การสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำผิดทั้งการให้ที่พักพิง หลบซ่อน จัดหาเสบียง เพราะจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มีโทษจำคุกและปรับ ซึ่งการช่วยเหลือโจรเท่ากับเป็นโจรเหมือนกัน”

จะเห็นว่าที่ผ่านมากองทัพได้ปรับยุทธวิธี เสริมความเข้มข้นในการดูแลพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ผุดชุดปฏิบัติการจรยุทธ์ ทั้งการลาดตระเวนจรยุทธ์พิสูจน์ทราบ และกดดันในหมู่บ้าน เพื่อจำกัดเสรีการปฏิบัติของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ในพื้นที่เป้าหมาย ให้ครอบคลุม ควบคุมพื้นที่ค้นหาแหล่งหลบซ่อน พื้นที่ฝึก พื้นที่พักพิง จำกัดเสรี และทำลายความพยายามในการก่อเหตุของกล่มผู้ก่อความไม่สงบ โดยตรวจสอบเส้นทางเคลื่อนที่ในพื้นที่ได้ ดูเหมือนจะได้ผล ซึ่งสถานการณ์ก็ลดลงตามลำดับ

โดยกำชับกำลังพลให้มีความเข้าใจต่อการปฏิบัติงาน มีการพลิกแพลงแผน เพื่อไม่ให้เกิดการติดตามจากฝ่ายตรงข้าม ศึกษาเส้นทาง เส้นทางหลัก เส้นทางรอง ศึกษาพื้นที่ ด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด ไม่สร้างเงื่อนไข แต่ให้สร้างความเข้าใจ สร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อพิทักษ์พื้นที่ให้เกิดความปลอดภัยทั่วทุกพื้นที่ 

ดังนั้นจะเห็นว่าฝ่ายรัฐ กองทัพ พยายามสร้างสันติสุข ลดเหตุรุนแรง ลดการสูญเสียมาโดยตลอด เห็นได้จากสถิติเหตุรุนแรง ซึ่งเป็น “เหตุความมั่นคง” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ห้วงปีงบประมาณ 2564 นับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 63 ถึงปัจจุบัน แม้จะมีเหตุการณ์ความมั่นคงเพิ่มขึ้น ในรูปแบบการลอบวางระเบิด และวางเพลิง เพิ่มขึ้นสูงมาก แต่ในแง่ความสูญเสียในปี 64 มีผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บลดลง เมื่อเทียบกับปี ต.ค. 62 ถึง ส.ค. 63 กับ ต.ค. 63 ถึง ส.ค. 64 

และนับจากนี้ภายใต้การดูแลของกองทัพภาคที่ 4 มั่นใจแนวโน้มของสถานการณ์ จะดีขึ้นเป็นลำดับ จะก่อให้เกิดการยกระดับงานพัฒนาในพื้นที่ กระตุ้นด้านเศรษฐกิจ เกิดความมั่นคงปลอดภัยในพื้นที่ พร้อมสู่จุดหมายเกิดสันติสุขแก่พี่น้องประชาชน.