“น.ต.ศิธา – ธรรม์ธีร์” เรียกร้องรัฐบาลเปิดเผยข้อมูลเหมืองทองอัคราให้ประชาชนรู้ หลังพบหุ้นบริษัทคิงส์เกตพุ่งอย่างมีนัย คาดมูลค่าตลาดเกินแสนล้านแล้ว
วันที่ 13 ก.พ. 2565 น.ต.ศิธา ทิวารี ประธานคณะกรรมการอำนวยการและพัฒนา พรรคไทยสร้างไทย พร้อมด้วย นายธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ดิจิทัลเพื่อสร้างพลังของประชาชน พรรคไทยสร้างไทย ร่วมกันแถลงข่าว ชวนติดตามกรณีข้อพิพาท เรื่องเหมืองทองอัครา ว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะดำเนินการอย่างไร จะทำให้ประเทศชาติประชาชนเกิดความเสียหายหรือไม่
ซึ่งพรรคไทยสร้างไทย มีข้อสังเกตว่า เหตุใด บริษัท Kinggate จึงยอมเลื่อนการวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการ โดยไม่สนใจค่าโง่จากการยกเลิกเหมืองทอง ที่คาดว่าจะได้รับมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท แสดงว่าการได้สิทธิ์ทำเหมืองทองต่อไป โดยเฉพาะการได้พื้นที่และอายุสัมปทานเพิ่มขึ้นนั้น มีค่าเกินกว่า 3 หมื่นล้านหรือไม่
จากการติดตามยังพบอีกว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมา หุ้นของบริษัท Kingsgate (KCN) ที่เทรดอยู่ในตลาด ASX มีราคาปรับตัวขึ้นกว่า 100% โดยถ้านับตั้งแต่มีข่าวว่ารัฐบาลไทยจะอนุมัติ ให้บริษัทคิงส์เกต กลับมาทำเหมืองทองในประเทศไทยต่อได้ หุ้นของบริษัทนี้ได้ปรับตัวสูงขึ้นมากว่า 300% แล้ว โดยในปัจจุบันมาร์เก็ตแคปน่าจะทะลุ 1 แสนล้านบาท ในขณะที่ประเทศไทยจะได้รับตอบแทนจากค่าภาคหลวงแร่ ประมาณ 4,000 กว่าล้านบาท หรือคิดเป็นเพียง 0.4-0.5% ของมูลค่าบริษัทที่เพิ่มขึ้นมา ณ ปัจจุบัน
ดังนั้น พรรคไทยสร้างไทย จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาล เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดต่อคนไทย ทั้งในเรื่องความปลอดภัยของชุมชนโดยรอบเหมือง, พื้นที่อุทยานหรือป่าสงวนรวมถึงสภาพแวดล้อมที่จะถูกทำลาย รวมถึงผลประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับมีมูลค่าเท่าใด โดยปัจจุบันการสำรวจทางธรณีวิทยา พัฒนาไปไกลมาก สามารถสำรวจทรัพยากรใต้ดินว่ามีจำนวนมากน้อยเพียงใด โดยใช้งบประมาณในการสำรวจที่ต่ำมาก เหตุใดบริษัทข้ามชาติจึงรู้ว่ามีทรัพยากรอยู่ใต้พื้นแผ่นดินไทยจำนวนมหาศาล ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทดีดตัวสูงขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่รัฐบาลไทยไม่มีข้อมูลใดๆ นำมาเปิดเผยให้ประชาชนไทยได้รับทราบเลย
“ในส่วนการยกเลิกการสัมปทานเหมืองนั้น พลเอกประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช. ได้สั่งยกเลิกด้วยตัวเอง อีกทั้งศาลยังเคยชี้ขาดว่าตำแหน่งหัวหน้า คสช. ไม่ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้นเมื่อมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น จึงไม่ควรเอาความผิดพลาด ซึ่งถือเป็นค่าโง่ส่วนตัวของตัวเอง มาหักกลบลบหนี้กับทรัพยากรของประเทศชาติ โดยเอื้อประโยชน์มหาศาลให้กับคู่กรณี แบบนี้ถือว่าไม่เป็นธรรมต่อพี่น้องประชาชน ซึ่งถือเป็นเจ้าของสมบัติชาติ” น.ต.ศิธา กล่าว