“วันจักรี” 6 เมษายน นอกจากจะเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ รัชกาลที่ 1 เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่ง “ราชวงศ์จักรี” แล้ว ยังมี 5 เรื่องน่ารู้อื่นๆ อีกมากมายในหน้าประวัติศาสตร์ไทย
“วันจักรี” ตรงกับวันที่ 6 เมษายนของทุกปี โดยถือเป็นวันสำคัญที่ประชาชนได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นปฐมกษัตริย์แห่ง “ราชวงศ์จักรี” และรวบรวมแผ่นดินไทยให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง
โดยนอกจากเป็นวันขึ้นครองราชย์แล้ว ราชวงศ์จักรียังมี 5 เรื่องน่ารู้อื่นๆ อีกที่คนไทยควรรู้ เข้ามาเช็กลิสต์ที่นี่!
- เปิดประวัติ “วันจักรี”
วันจักรี คือ วันที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ปฐมบรมราชวงศ์จักรี พระองค์เสด็จปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทรงรับอัญเชิญขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ดำรงราชอาณาจักรสยามประเทศ ตรงกับวันที่ 6 เมษายนของทุกปี
- ที่มาของชื่อ และสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์
ชื่อของราชวงศ์จักรีมีที่มาจากบรรดาศักดิ์ “เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์” ตำแหน่งสมุหนายก ซึ่งเป็นตำแหน่งทางราชการที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เคยทรงดำรงตำแหน่งมาก่อนในสมัยกรุงธนบุรี คำว่า “จักรี” นี้พ้องเสียงกับคำว่า “จักร” และ “ตรี” ซึ่งเป็นเทพอาวุธของพระนารายณ์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง พระแสงจักร และ พระแสงตรี ไว้ 1 สำรับ และกำหนดให้ใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์จักรีสืบมาจนถึงปัจจุบัน
- ทำไม “วันจักรี” ถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดประจำปี?
มีข้อมูลจาก ศูนย์ประชาสัมพันธ์และเทคโนโลยีสารสนเทศ กองทัพภาคที่ 3 ระบุไว้ว่า วันจักรี ถูกตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 จากพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูป โดยแต่เดิมไม่ได้มีพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูปมาก่อน
แต่ในปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) โปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูปพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 4 พระองค์ (ร.1-ร.4) ขึ้นมา เพื่อประดิษฐานไว้ให้พระมหากษัตริย์องค์ต่อมา พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชน ได้ถวายบังคมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณปีละครั้ง
ต่อมาหลังจากรัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ช่างหลวงหล่อพระบรมรูปของรัชกาลที่ 5 พระชนกนาถ เพิ่มขึ้นด้วย และให้นำพระบรมรูปพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 5 พระองค์ มาประดิษฐานไว้ ณ ปราสาทพระเทพบิดร ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมให้ซ่อมแซมพระที่นั่งในปราสาทแห่งนี้เพิ่มเติม
การซ่อมแซมก่อสร้างและประดิษฐานพระบรมรูปทั้ง 5 รัชกาล สำเร็จลุล่วงในเดือนเมษายน พ.ศ. 2461 จึงได้มีพระบรมราชโองการ ประกาศตั้งพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูป ในวันที่ 6 เมษายนปีนั้น และต่อมาทรงโปรดเกล้าฯ ให้เรียกวันที่ 6 เมษายนว่า “วันจักรี”
- ร.1 ทรงก่อตั้งกรุงเทพฯ หลังเสด็จขึ้นครองราชย์
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีแล้ว จากนั้นไม่นานพระองค์ก็ทรงพระราชกรณียกิจอันสำคัญในการรวบรวมบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น
โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายราชธานีจากฝั่งธนบุรีมาที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วจัดพิธี ยกเสาหลักเมืองที่ “กรุงเทพมหานคร” รวมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้มีการก่อสร้างพระบรมมหาราชวัง ตลอดจนวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ขึ้น
พร้อมทั้งพระราชทานนามพระนครใหม่ว่า “กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” เป็นชื่อเมืองที่ยาวที่สุดในโลก
โดยมีความหมายว่า “พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร อันเป็นที่สถิตของพระแก้วมรกต เป็นนครที่ไม่มีใครสามารถรบชนะ มีความงามอันมั่นคงและเจริญยิ่ง เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้ว 9 ประการ น่ารื่นรมย์ยิ่ง มีพระราชนิเวศน์ใหญ่โตมากมาย เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา ซึ่งท้าวสักกเทวราชพระราชทานให้พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้”
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ทรงเปลี่ยนจาก “…บวรรัตนโกสินทร์…” เป็น “…อมรรัตนโกสินทร์…”
- “สะพานพระพุทธยอดฟ้า” สถานที่สำคัญเชื่อมโยง “วันจักรี”
ต่อมาในปี 2475 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.7) ทรงพระราชปรารภว่า อายุพระนครจะบรรจบครบ 150 ปี สมควรมีการสมโภช และสร้างสิ่งสำคัญขึ้นเป็นอนุสรณ์ขึ้นไว้ให้ปรากฏแก่อารยชนในนานาประเทศว่า ชาวไทยมีความกตัญญูรู้คุณบรรพบุรุษที่ได้สร้างกรุงเทพฯ เป็นราชธานี แล้วบำรุงรักษาประเทศให้เป็นอิสระสืบมา
อภิรัฐมนตรีและเสนาบดี ซึ่งเห็นชอบด้วยพระราชดำริว่า ควรสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์มี 2 สิ่งประกอบกัน คือ
- พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ปฐมกษัตริย์
- สร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อมพระนครธนบุรี
สำหรับพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบ ให้ศาสตรจารย์ศิลปพีระศรี ปั้นหุ่นหล่อ
ส่วนสะพานทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยากำแพงเพชรอัครโยธิน เป็นผู้อำนวยการสร้าง และพระราชทานนามว่า สะพานพระพุทธยอดฟ้า
อ้างอิง : ศูนย์ประชาสัมพันธ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ กองทัพภาคที่ 3 , กรุงเทพมหานคร , สำนักงานวัฒนธรรม