ครั้งแรกของโลก มข. เปิดตัวสเปรย์ฟ้าทะลายโจร ด้วยระบบเทคโนโลยีแอนโดรกราโฟไลด์ นาโน อิมัลชัน ใช้สเปรย์ใส่ปาก จมูก รับแผนโรดแม็ปปลดล็อกโควิดเป็นโรคประจำถิ่น คาดต้น เม.ย.วางแผงร้านขายยาทั่วประเทศ
เวลา 14.30 น.วันที่ 22 มี.ค.2565 ที่ห้องประชุมชั้น 2 อาคารสิริคุณากร มหาวิทยาลัยขอนแก่น(มข.) รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น พร้อมด้วย ศ.ดร.มนต์ชัย ดวงจินดา รองอธิการบดี ฝ่ายวิจัยและบัณฑิตศึกษา มข. และ ดร.นพรัตน์ อินทร์วิเศษ หัวหน้าทีมวิจัย บริษัท มิส ลิลลี่ จำกัด ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัวสเปรย์สำหรับช่องปากและลำคอ จากสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ซึ่งสถาบันวิจัยและพัฒนา มข.ร่วมกับ บ.มิส ลิลลี่ จำกัด ได้ทำการวิจัยและคิดค้นขึ้นสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก ท่ามกลางความสนใจจากนักวิชาการ และคณาจารย์ รวมทั้งนักศึกษาร่วมชมผลงานวิจัยดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดี มข. กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ เชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ฟ้าทะลายโจรสมุนไพรของไทยเป็นความหวังในการบรรเทาอาการของผู้ป่วยเนื่องจากมีสรรพคุณป้องกัน รักษาอาการหวัด และยังยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส โดยสารสำคัญในฟ้าทะลายโจรที่ให้ฤทธิ์ทางยา และได้รับการรับรองอย่างแพร่หลายทั่วโลกในแง่ของการป้องกันและยับยั้งเชื้อโควิดได้ก็คือ แอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ซึ่ง สารดังกล่าวที่อยู่ในฟ้าทะลายโจร ได้รับความสนใจอย่างมากและมีการนำมาพัฒนามากยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ มีงานวิจัยข้อมูลทางการแพทย์มากมายในต่างประเทศ ซึ่งคณะนักวิจัย มข. โดยฝ่ายวิจัยและบัณฑิตศึกษาได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสารดังกล่าวมาโดยตลอด จนล่าสุดประสบความสำเร็จในการคิดค้นแนวทาง การนำสารแอนโดรกราโฟไลด์มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในรูปแบบนาโนอิมัลชัน (nano-emulsion) ได้เป็นครั้งแรกของโลก
ด้าน ศ.ดร.มนต์ชัย ดวงจินดา รองอธิการบดี ฝ่ายวิจัยและบัณฑิตศึกษา มข. กล่าวว่า สารแอนโดรกราโฟไลด์ที่เป็นสารในกลุ่มไดเทอร์ปีนแลคโตน (Diterpene Lactone) เป็นสารออกฤทธิ์สำคัญที่พบในสมุนไพรฟ้าทะลายโจรที่มีรายงานทางวิชาการทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศว่า มีฤทธิ์ลดไข้ ต้านการอักเสบ และต้านเชื้อไวรัส เป็นสารที่ให้รสขม ปัจจุบันมีการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจร จากใบ หรือส่วนอื่นๆ หรือสารสกัดหยาบในรูปยาผงแบบอัดเม็ดและแคปซูล ซึ่งการใช้ในรูปแคปซูลดังกล่าว จะมีแอนโดรกราโฟไลด์ที่เป็นสารสำคัญอยู่ประมาณ 1.38-3.21% ขึ้นกับสถานที่ปลูก และเนื่องด้วยเป็นสารที่ไม่ละลายในน้ำ จึงทำให้สารแอนโดรกราโฟไลด์ถูกดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ในร่างกายได้เพียง 2.67% จึงทำให้ต้องรับประทานครั้งละ 4 แคปซูลและต่อเนื่องวันละ 4 ครั้งรวม 12 แคปซูลต่อวันหรือให้ได้ปริมาณผงยา 6,000 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งเทียบเท่ากับสารแอนโดรกราโฟไลด์ 60 มิลลิกรัมต่อวัน
“คณะนักวิจัยจึงได้ทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์แอนโดรกราโฟไลด์บริสุทธิ์ ด้วยเทคโนโลยีนาโนอิมัลชัน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมขึ้นอีกหลายเท่า ทำให้ใช้ปริมาณเพียงเล็กน้อยแต่มีประสิทธิภาพในการทำงานในระดับสูง ลดความเสี่ยงของการรับประทานสมุนไพรในรูปปกติในปริมาณมากเกินขนาด หรือ over dose เป็นการนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากงานวิจัยมาใช้ประโยชน์และต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ในการดูแลสุขภาพของคนไทยในสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งเทคโนโลยีนาโนอิมัลชัน ถูกใช้ในหลายผลิตภัณฑ์มาเป็นเวลานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องสำอาง และยารักษาโรค แต่ยังไม่มีการนำสารแอนโดรกราโฟไลด์มาพัฒนาในรูปแบบนี้ ซึ่งงานวิจัยเกือบทั้งหมดเป็นการศึกษาประโยชน์ทางยาของสารแอนโดรกราโฟไลด์ในรูปแบบผง แม้การทำนาโนอิมัลชันในห้องปฏิบัติการเองก็ยังประสบกับปัญหาหลายอย่าง เช่น การทำให้อนุภาคมีขนาดเล็กกว่า 100 นาโนเมตรมีความสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ความคงตัว (stability) ของสารละลายก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากเช่นกัน ในการทดลองต้องหาชนิดสารและปริมาณที่เหมาะสม และต้องปรับความเป็นกรดด่างเพื่อให้สารไม่เกิดการออกซิเดชัน และไม่เป็นกรดมากจนเป็นอันตราย รวมถึงต้องปรุงแต่งรสชาติเพื่อลดความขมของสารแอนโดรกราโฟไลด์ และมีรสชาติที่ใช้ได้กับทุกวัย”
ศ.ดร.มนต์ชัย กล่าวต่ออีกว่า ปัจจุบันกระบวนการผลิตดังกล่าวได้ข้อสรุป และมีการต่อยอดเชิงพาณิชย์ในรูปแบบของสเปรย์พ่นช่องปากและลำคอ ขนาด 10 มิลลิลิตรและ 20 มิลลิลิตร ที่ขณะนี้ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ตัวอย่างวางจำหน่ายแล้วที่ รพ.ศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มข. และร้านขายยาในความรับผิดชอบของ มข. และจะมีการต่อยอดเชิงพาณิชย์ไปในกลุ่มร้านขายยา ซึ่งคิดว่าจะสามารถวางจำหน่ายได้ในช่วงต้นเดือน เม.ย.ที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ตาม สเปรย์พ่นช่องปากและลำคอจากฟ้าทะลายโจรดังกล่าว ถือเป็นการเตรียมการที่สำคัญตามแผนโรดแม็ปตามที่รัฐบาลได้เตรียมการคลายล็อกมาตรการต่างๆและประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นในวันที่ 1 ก.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งผลงานวิจัยของ มข.จะเป็นยาสามัญประจำบ้านที่เหมาะต่อการใช้งานเพื่อระวัง และป้องกันได้ในทุกเพศ ทุกวัยสามารถฉีดพ่นได้ทุกเวลาอีกด้วย