“หยาง-สันติ” ปัดลงมือฆ่า 2 ศพ โบ้ยมาเฟียไต้หวัน อ้างผัว-เมียพัวพันธุรกิจมืด

“หยาง-สันติ” ผู้ต้องหาคดีฆ่า สามีภรรยาพร้อมลูกในครรภ์ที่ไต้หวัน มอบตัวกับตำรวจกองปราบฯแล้วที่บ้านอรุโณทัย จ.เชียงใหม่ ก่อนคุมตัวขึ้นเครื่องมาให้ ผบ.ตร.แถลงข่าวที่ บก.ป. มีชุดหนุมานฯมารับถึงประตูเครื่อง เผยผู้ต้องหายังอ้างไม่ได้ลงมือ โบ้ยมาเฟียไต้หวันเป็นผู้ฆ่า เหตุพัวพันธุรกิจมืดทั้งคอลเซ็นเตอร์และยาเสพติด แถมขัดแย้งเรื่องหนี้สินกว่า 10 ล้านบาท

จากกรณีเจ้าหน้าที่สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย และตำรวจไต้หวัน ขอความร่วมมือมายังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ผ่านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพื่อขอให้ติดตามจับกุมนายสันติ หรือหยาง ศุภอภิรดีไพลิน อายุ 35 ปี ผู้ก่อเหตุฆาตกรรม 2 สามีภรรยารวมทั้งลูกในครรภ์ ก่อนนำศพทั้งคู่ยัดท้ายรถบีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์ 4 สีขาว ขับไปจอดทิ้งหน้าสถานีรถไฟความเร็วสูง เถาหยวน เมืองซินเป่ย ทางตะวันตกของกรุงไทเป โดยนายสันติหนีกลับเข้าประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. ชนวนเหตุจากผลประโยชน์ธุรกิจจัดหาแรงงานและเรื่องหนี้สิน ท่ามกลางกระแสข่าวผู้ก่อเหตุคดีนี้เตรียมมอบตัว หลังมีผู้พบอยู่ในเขต บช.ภ.5

ความคืบหน้า เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 17 มิ.ย. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม ผกก.1 บก.ป. พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป. นำกำลังตำรวจ กก.1 บก.ป.และ กก. 4 บก.ป. เดินทางไปที่บ้านอรุโณทัย หมู่ที่ 10 ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพื่อรับตัวนายสันติ หรือหยาง ศุภอภิรดีไพลิน อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาคดีนี้ ตามหมายจับศาลอาญาฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา หลังนายสุชาติ ศุภอภิรดีไพลิน อายุ 63 ปี พ่อของนายหยางพร้อมญาติประสานพาเข้ามอบตัว ตำรวจคุมตัวมาขึ้นรถตู้ที่หมวดมวลชนสัมพันธ์กองร้อย ตชด. ที่ 335 อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ มุ่งหน้าขึ้นเครื่องบิน ตำรวจที่กองบิน 41 กองทัพอากาศ อ.เมืองเชียงใหม่ มาลงที่กองบินตำรวจ (ดอนเมือง) กทม. มีชุดหนุมานกองปราบฯมารับตัวถึงประตูเครื่องบิน เพื่อส่งให้พนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป. สอบสวนดำเนินคดีที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เวลา 17.00 น. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.สันติ ชัยนิรามัย รอง ผบช.ก. พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. นายอีธาน หลิน ทูตตำรวจไต้หวันประจำประเทศไทย พร้อมผู้เกี่ยวข้องแถลงผลการจับกุมนายสันติ หรือหยาง ศุภอภิรดีไพลิน อายุ 35 ปี ผู้ก่อเหตุฆ่า น.ส. พจนีย์ แซ่หลี่ หรือล่ามมี่ อายุ 35 ปี นายประเสริฐ โนราษ อายุ 32 ปี สองสามีภรรยาชาวไทยและลูกในครรภ์ ก่อนหลบหนีกลับประเทศไทย

พล.ต.อ.สุวัฒน์เปิดเผยว่า สอบสวนนายหยาง ให้การภาคเสธไม่ได้ลงมือก่อเหตุแต่ให้การพาดพิงไปถึงบุคคลอื่น ไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากจะกระทบต่อรูปคดี ส่วนกรณีที่ผู้ตายตั้งครรภ์จะเป็นเหตุให้ผู้ต้องหาได้รับโทษหนักขึ้นหรือไม่นั้น พนักงานสอบสวนจะบรรยายพฤติกรรมทางคดีอย่างละเอียดเพื่อชี้ให้ศาลเห็นการกระทำและพิจารณาลงโทษผู้ต้องหา จากความผิดดังกล่าวผู้ต้องหาจะต้องรับโทษ ในราชอาณาจักร ตาม ป.อาญา ม.8 (ก) วรรคสอง (4) ไม่จำเป็นต้องส่งตัวผู้ต้องหาในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ไปไต้หวัน นอกจากนี้ตาม ป.วิ อาญา ม.20 บัญญัติให้อัยการสูงสุด หรือผู้รักษาราชการแทน เป็นพนักงาน สอบสวนผู้รับผิดชอบ ในกรณีนี้พนักงานสอบสวนบก.ป. จะรายงานให้สำนักงานอัยการสูงสุดทราบเป็นลำดับต่อไป แต่ถ้ากรณีที่ผู้ต้องหากล่าวอ้างว่าเป็นบุคคลต่างด้าวนั้น ตาม ป.อาญา ม.8 (ข) สามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากในคดีนี้มีคนไทยเป็นผู้เสียหายและผู้เสียหายได้มีการ ร้องขอให้ลงโทษตามกฎหมายแล้ว

ด้าน พล.ต.ท.จิรภพกล่าวว่า การสอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องหายังคงยืนยันว่าไม่ได้ลงมือสังหารผู้ตาย แต่ยอมรับรู้เห็นเหตุการณ์บางส่วน ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของผู้ต้องหา ส่วนสาเหตุนั้นอยู่ระหว่างการสอบสวน โดยในวันที่ 18 มิ.ย. พนักงานสอบสวนจะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังต่อศาลอาญา นายอีธาน หลิน ทูตตำรวจไต้หวันประจำประเทศไทย ระบุว่า คดีนี้เป็นข่าวใหญ่ที่ไต้หวัน เมื่อประสานมายังตำรวจไทย ก็ได้รับความร่วมมืออย่างดีและรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง

มีรายงานว่า สอบสวนเบื้องต้นนายหยางให้การปฏิเสธ ยอมรับอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยแต่ไม่ได้ร่วมลงมือ โดยอ้างว่าก่อนหน้านี้ น.ส.พจนีย์ แซ่หลี่ หรือล่ามมี่ นายประเสริฐ โนราษ 2 สามีภรรยาผู้ตาย แนะนำให้รู้จักกับแก๊งมาเฟียไต้หวันกลุ่มหนึ่ง เพราะนายหยางเป็นผู้ดูแลประสานงานต่างๆ จากนั้นไม่นานทราบว่าผู้ตายกับกลุ่มมาเฟียมีปัญหาทะเลาะขัดแย้งกัน เกี่ยวกับเรื่องหนี้สินที่ผู้ตายติดค้างเป็นเงินกว่า 10 ล้านบาท กลุ่มมาเฟียเคยทวงถามมาแล้วหลายครั้ง แต่ผู้ตายยังนิ่งเฉยจนกระทั่งเช้าวันที่ 8 มิ.ย. กลุ่มมาเฟียส่งคนมาหา บังคับให้ล่อลวงผู้ตายทั้งคู่มาพบตรงจุดเกิดเหตุ กระทั่งมาพบเวลาประมาณ 22.00 น.ขณะนั้นกลุ่มมาเฟียส่งชายฉกรรจ์สวมหมวกโม่งปิดบังใบหน้ามาเฝ้ารออยู่ด้วย 7 คน เมื่อผู้ตายมาถึงชายฉกรรจ์ดังกล่าวจำนวน 2 คน ได้พาตนกับผู้ตายทั้งสอง เข้าไปในห้อง ส่วนชายฉกรรจ์ที่เหลืออีก 5 คน พร้อมอาวุธปืนยืนคุมเชิงอยู่บริเวณด้านนอกห้อง

หลังการเจรจาผ่านไป สถานการณ์ภายในห้องเริ่มตึงเครียดมากขึ้นก่อนจะเริ่มทำร้ายร่างกายน.ส.พจนีย์ ก่อนด้วยการใช้ของแข็งคล้ายท่อนเหล็กห่อด้วยกระดาษทุบตี นายประเสริฐ สามีพยายามเข้าช่วย ระหว่างนั้นนายหยางเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามห้ามปรามแต่ถูกตีเข้าที่แขนบาดเจ็บ จากนั้นชายฉกรรจ์ทั้งสองลงมือกระหน่ำตีสามีภรรยาแบบไม่ยั้งมือจนเสียชีวิต ก่อนนำศพไปทิ้งท้ายรถเก๋งบีเอ็มดับเบิลยู แล้วบังคับให้นายหยางขับรถไปจอดทิ้ง โดยข่มขู่หากไม่ทำตามจะฆ่านายหยางและตามไปฆ่าแฟนสาวที่อยู่ในไต้หวัน ส่วนนายหยางเมื่อพ้นอันตรายรีบโทรศัพท์ไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนฟัง พร้อมบอก สถานที่จุดทิ้งศพเพื่อให้ช่วยแจ้งตำรวจมาตรวจสอบนายหยางยังให้การอ้างว่า ก่อนเกิดเหตุเริ่มปลีกตัวออกมาเพราะผู้ตายทำธุรกิจผิดกฎหมายหลายอย่าง อาทิ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติด เพราะว่าได้เงินเร็ว สาเหตุครั้งนี้เกิดจากหนี้สินที่ติดค้างกลุ่มมาเฟียกว่า 10 ล้านบาท ส่วนที่ไม่กล้าแจ้งความเพราะมาเฟียกลุ่มนี้เป็นผู้มีอิทธิพล