ราชกิจจาฯ คลายล็อกมาตรการป้องกัน “โควิด-19” มีผลตั้งแต่ 1 ก.ค.นี้! เป็นต้นไป

ราชกิจจานุเบกษา คลายล็อกมาตรการป้องกัน โควิด-19 ยกเลิกการรับลงทะเบียนการเดินทางเข้าประเทศ เลิกการกักตัว แต่ต้องแสดงเอกสารฉีดวัคซีนครบ มีผลตั้งแต่ 1 ก.ค.นี้ เป็นต้นไป 

วันที่ 23 มิ.ย. ราชกิจจานุเบกษา คลายล็อกโควิด-19 ยกเลิกการรับลงทะเบียนการเดินทางเข้าประเทศ เลิกการกักตัว มีผลตั้งแต่ 1 ก.ค.นี้ เป็นต้นไป 

คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ 13/2565

เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 27)

ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ให้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565 จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 โดยนายกรัฐมนตรีได้ออก ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 44) ลงวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2565 ในการปรับปรุงการกำหนดผู้เดินทาง เข้ามาในราชอาณาจักร และคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ 11/2565 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 26) ลงวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 นั้น

เพื่อให้การปฏิบัติงานตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและการขยาย ระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว และตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 5/2563 เรื่อง การจัดตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ลงวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2563 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์

อาศัยอำนาจตามความในข้อ 4 (2) ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2563 เรื่อง แต่งตั้งผู้กำกับ การปฏิบัติงาน หัวหน้าผู้รับผิดชอบและพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ลงวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2563 และที่แก้ไขเพิ่มเติม นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 จึงมีคำสั่งให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินและพนักงานเจ้าหน้าที่ ดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้ยกเลิกการรับลงทะเบียนการเดินทางเข้าราชอาณาจักรสำหรับผู้เดินทางเข้ามา ในราชอาณาจักรทุกประเภท ของคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ 11/2565 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9

ข้อ 2 ให้ยกเลิกหลักเกณฑ์การดำเนินการในสถานที่กักกันซึ่งทางราชการกำหนดตาม ข้อ 2 ของมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและหลักเกณฑ์การดำเนินการ ในสถานที่กักกันซึ่งทางราชการกำหนดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แนบท้ายคำสั่ง ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ 11/2565 ลงวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ข้อ 3 ให้ปรับมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรทุกประเภทของ คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ 11/2565 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 26) ลงวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ตำมแนบท้ายคำสั่งนี้

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง เป็นอย่างอื่น

สั่ง ณ วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2565

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19

มาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและหลักเกณฑ์การดำเนินการในสถานที่กักกันซึ่งทางราชการกำหนด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แนบท้ายคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ 13/2565
ลงวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2565

เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 มิให้เกิดการแพร่ระบาดในราชอาณาจักร และเพื่อให้มาตรการและหลักเกณฑ์สำหรับผู้เดินทางเข้ามา ในราชอาณาจักรมีความสอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จึงเห็นควรกำหนดมาตรการป้องกันโรคและหลักเกณฑ์การดำเนินการในสถานที่กักกัน ซึ่งทางราชการกำหนด สำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร 3 ประเภท ได้แก่

(1) ผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งแสดงหลักฐานหรือเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนป้องกัน โรคโควิด-19 ครบตามเกณฑ์ที่ผู้ผลิตวัคซีนหรือที่ทางราชการกำหนด (Vaccinated Persons)

(2) ผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งมิได้แสดงหลักฐานหรือเอกสารรับรองการได้รับ วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบตามเกณฑ์ที่ผู้ผลิตวัคซีนหรือที่ทางราชการกำหนด (Unvaccinated/Not Fully Vaccinated Persons) และ

(3) ผู้มีเหตุยกเว้นหรือเป็นกรณีที่นายกรัฐมนตรี หรือหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนด อนุญาต หรือเชิญให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามความจำเป็น ดังนี้

1. มาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
(1) ผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งแสดงหลักฐานหรือเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบตามเกณฑ์ที่ผู้ผลิตวัคซีนหรือที่ทางราชการกำหนด (Vaccinated Persons)

มาตรการป้องกันโรค

มาตรการก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
1) ให้มีหลักฐานหรือเอกสารที่ใช้ในการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

1.1) หนังสือเดินทาง (Passport) หรือหลักฐานเอกสารที่ราชการกำหนด
1.2) บัตรผ่านแดน (Border Pass)
1.3) หนังสือแสดงการเป็นผู้ควบคุมยานพาหนะหรือเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะ พร้อมระบุเวลาที่จะเข้าและออกราชอาณาจักร และความจำเป็นที่ต้องเดินทางเข้ามาตามภารกิจ

1.4) เอกสารที่ยืนยันหรือแสดงว่ามีนายจ้างหรือผู้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรที่ได้รับการรับรองโดยกระทรวงแรงงานเพื่อเข้ามาทำงานใน ราชอาณาจักรตามบันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ หรือแนวปฏิบัติกรณีแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามมาตรา 64 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ที่กระทรวงแรงงานกำหนด

มาตรการป้องกันโรค

2) ให้มีหลักฐานหรือเอกสารรับรองการได้รับวัคซีน (Certificate of Vaccination) ดังนี้

2.1) กรณีผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ให้มีหลักฐานหรือเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ที่ผู้ผลิตวัคซีนหรือที่ทางราชการกำหนด โดยต้องเป็นวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยาหรือได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกหรือตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ก่อนออกเดินทาง

2.2) กรณีผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรมีอายุตั้งแต่ 5 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์ให้มีหลักฐานหรือเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม โดยต้องเป็นวัคซีน ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยาหรือได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกหรือตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วันก่อนออกเดินทาง

2.3) กรณีผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรมีอายุยังไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์และได้เดินทางมาพร้อมกับผู้ปกครองหรือผู้ดูแลไม่ต้องมีหลักฐานหรือเอกสารรับรองดังกล่าว

มาตรการเมื่อเดินทางถึง/ระหว่างอยู่ในราชอาณาจักร

1) ให้ยื่นเอกสารหรือแสดงหลักฐานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ รวมถึงการดำเนินพิธีการตรวจคนเข้าเมือง แล้วแต่กรณี ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศหรือ พื้นที่ที่ทางราชการกำหนด ก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร

2) กรณีผู้เดินทางที่ไม่มีสัญชาติไทยและเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศทางบกเฉพาะจุดผ่านแดนถาวร (International Point of Entry) ที่ใช้บัตร ผ่านแดน (Border Pass) ในการเดินทางให้สามารถพำนักอยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 3 วัน และให้เดินทางได้เฉพาะพื้นที่ตามที่ได้ตกลงกันไว้ตามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดน ระหว่างประเทศ

3) ในระหว่างที่อยู่ในราชอาณาจักร ให้ผู้เดินทางปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่ทางราชการกำหนดอย่างเคร่งครัด และขอความร่วมมือให้ผู้เดินทางตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 โดยชุดตรวจและน้ำยาที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยการติดเชื้อ SARS – CoV – 2 (เชื้อก่อโรค COVID 19) แบบตรวจหาแอนติเจนด้วยตนเอง (Antigen Self – Test Kit หรือ ATK) ทั้งนี้ในกรณีผลการตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 พบว่าผู้เดินทางมีเชื้อโรคโควิด-19 ให้ผู้เดินทางดำเนินการหรือเข้ารับการตรวจหรือดูแลรักษาพยาบาลตามแนวทางที่กระทรวง สาธารณสุขกำหนด โดยให้ผู้เดินทาง ต้นสังกัด นายจ้าง หรือผู้ได้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในราชอาณาจักร แล้วแต่กรณี เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจหรือรักษาพยาบาลทั้งหมด หรือให้เป็นไปตามสิทธิในการตรวจหรือการรักษาพยาบาลตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรการก่อนเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
-ไม่มี-

(2) ผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งมิได้แสดงหลักฐานหรือเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบตามเกณฑ์ที่ผู้ผลิตวัคซีนหรือที่ทางราชการกำหนด (Unvaccinated/Not Fully Vaccinated Persons)
มาตรการป้องกันโรค

มาตรการก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร

1) ให้มีหลักฐานหรือเอกสารที่ใช้ในการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

1.1) หนังสือเดินทาง (Passport) หรือหลักฐานเอกสารที่ราชการกำหนด
1.2) บัตรผ่านแดน (Border Pass)
1.3) หนังสือแสดงการเป็นผู้ควบคุมยานพาหนะหรือเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะ พร้อมระบุเวลาที่จะเข้าและออกราชอาณาจักร และความจำเป็นที่ต้องเดินทางเข้ามาตามภารกิจ

1.4) เอกสารที่ยืนยันหรือแสดงว่ามีนายจ้างหรือผู้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรที่ได้รับการรับรองโดยกระทรวงแรงงานเพื่อเข้ามาทำงานในราชอาณาจักร ตามบันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ หรือแนวปฏิบัติกรณีแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามมาตรา 64 แห่งพระราชกำหนด การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ที่กระทรวงแรงงานกำหนด
มาตรการเมื่อเดินทางถึง/ระหว่างอยู่ในราชอาณาจักร

1) ให้ยื่นเอกสารหรือแสดงหลักฐานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ รวมถึงการดำเนินพิธีการตรวจคนเข้าเมือง แล้วแต่กรณี ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ หรือพื้นที่ที่ทางราชการกำหนด ก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร

2) กรณีผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรที่ไม่มีหลักฐานหรือเอกสารรับรองการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ยืนยันว่าผู้เดินทางไม่มีเชื้อโรคโควิด-19 โดยวิธี RT – PCR (Laboratory result indicating that COVID – 19 is not detected by RT- PCR) หรือโดยวิธีการตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 โดยชุดตรวจและน้ำยาที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยการติดเชื้อ SARS – CoV – 2 (เชื้อก่อโรค COVID 19) แบบตรวจหาแอนติเจนสำหรับใช้โดยบุคลากรทางการแพทย์ (ATK Professional Use) โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ก่อนการเดินทางทางอากาศหรือ ทางบก หรือก่อนเดินทางจากจุดที่มีการจอดเทียบท่าเป็นครั้งสุดท้าย (Last port) ก่อนเข้ามาในราชอาณาจักรสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ณ ช่องทางเข้าออกระหว่าง ประเทศทางน้ำ ให้ผู้เดินทางปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่ออย่างเคร่งครัดภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยให้ผู้เดินทาง ต้นสังกัด นายจ้าง หรือผู้ได้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในราชอาณาจักร แล้วแต่กรณี เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจหรือรักษาพยาบาลทั้งหมด หรือให้เป็นไปตาม สิทธิในการตรวจหรือการรักษาพยาบาลตามที่กฎหมายบัญญัติ

3) กรณีผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรที่มีหลักฐานหรือเอกสารรับรองการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ยืนยันว่าผู้เดินทางไม่มีเชื้อโรคโควิด-19 โดยวิธี RT – PCR (Laboratory result indicating that COVID-19 is not detected by RT – PCR) หรือโดยวิธีการตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 โดยชุดตรวจและน้ำยาที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยการติดเชื้อ SARS – CoV – 2 (เชื้อก่อโรค COVID-19) แบบตรวจหาแอนติเจนสำหรับใช้โดยบุคลากรทางการแพทย์ (ATK Professional Use) โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง ก่อนการเดินทางทางอากาศหรือ

มาตรการป้องกันโรคทางบก หรือก่อนเดินทางจากจุดที่มีการจอดเทียบท่าเป็นครั้งสุดท้าย (Last port) ก่อนเข้ามาในราชอาณาจักรสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ณ ช่องทางเข้าออกระหว่าง ประเทศทางน้ำ ให้ผู้เดินทางสามารถเดินทางในราชอาณาจักรได้โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่ทางราชการกำหนดอย่างเคร่งครัดตลอดเวลาที่อยู่ในราชอาณาจักร ทั้งนี้ ในกรณีผู้เดินทางเป็นผู้ขนส่งสินค้าตามความจำเป็นให้นำยานพาหนะไปจอดและขนส่งสินค้า ณ จุดที่กำหนดไว้เท่านั้น โดยให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรทันทีเมื่อขนส่งสินค้า เสร็จสิ้นแล้ว ทั้งนี้ ต้องไม่เกิน 7 ชั่วโมง นับแต่ยานพาหนะนั้นออกจากช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศไปยังจุดขนส่งสินค้า กรณีมีความจำเป็นที่ไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ให้พนักงาน เจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อเป็นผู้พิจารณาตามสมควรแก่กรณี

4) ในระหว่างที่อยู่ในราชอาณาจักร ให้ผู้เดินทางปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่ทางราชการกำหนดอย่างเคร่งครัด และขอความร่วมมือให้ผู้เดินทางตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 โดยชุดตรวจและน้ำยาที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยการติดเชื้อ SARS – CoV – 2 (เชื้อก่อโรค COVID-19) แบบตรวจหาแอนติเจนด้วยตนเอง (Antigen Self – Test Kit หรือ ATK) ทั้งนี้ ในกรณีผลการตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 พบว่าผู้เดินทางมีเชื้อโรคโควิด-19 ให้ผู้เดินทางดำเนินการหรือเข้ารับการตรวจหรือดูแลรักษาพยาบาลตามแนวทางที่กระทรวง สาธารณสุขกำหนด โดยให้ผู้เดินทาง ต้นสังกัด นายจ้าง หรือผู้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในราชอาณาจักร แล้วแต่กรณี เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจหรือ รักษาพยาบาลทั้งหมด หรือให้เป็นไปตามสิทธิในการตรวจหรือการรักษาพยาบาลตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรการก่อนเดินทางออกจากราชอาณาจักร
-ไม่มี-

(3) ผู้มีเหตุยกเว้นหรือเป็นกรณีที่นายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนด อนุญาต หรือเชิญให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามความจำเป็น

มาตรการป้องกันโรค
มาตรการก่อนเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร

1) ให้มีหลักฐานหรือเอกสารรับรองการได้รับวัคซีน (Certificate of Vaccination) ดังนี้

1.1) กรณีผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ให้มีหลักฐานหรือเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ที่ผู้ผลิตวัคซีนหรือที่ทางราชการกำหนด โดย ต้องเป็นวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยาหรือได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกหรือตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ก่อนออกเดินทาง
1.2) กรณีผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรมีอายุตั้งแต่ 5 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์ ให้มีหลักฐานหรือเอกสารรับรองการได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม โดยต้องเป็น วัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยยาหรือได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกหรือตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วันก่อนออกเดินทาง 1.3) กรณีผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรมีอายุยังไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์ และได้เดินทางมาพร้อมกับผู้ปกครองหรือผู้ดูแล ไม่ต้องมีหลักฐานหรือเอกสารรับรองดังกล่าว 2) ให้มีแผนการเดินทางหรือแผนการปฏิบัติภารกิจระหว่างอยู่ในราชอาณาจักรที่แน่นอนชัดเจน สามารถติดตามตัวได้

มาตรการป้องกันโรค

มาตรการเมื่อเดินทางถึง/ระหว่างอยู่ในราชอาณาจักร

ให้ยื่นเอกสารหรือแสดงหลักฐานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ในการปรับมาตรการป้องกันโรคก่อนเดินทางเข้าในราชอาณาจักรและมาตรการเมื่อเดินทางถึง/ระหว่างอยู่ในราชอาณาจักรให้มีความเหมาะสมแก่กรณีให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบสามารถดำเนินการขออนุมัตินายกรัฐมนตรี ผ่านศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ภายใต้หลักเกณฑ์และแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

มาตรการก่อนเดินทางออกจากราชอาณาจักร
-ไม่มี-

ราชกิจจานุเบกษา ฉบับเต็ม