“ม.มหิดล” เเนะปลุกเยาวชนออกจากหน้าจอ กระตุ้นสมองและสมาธิด้วยกิจกรรมทางกาย

เด็กมีพฤติกรรมเนือยนิ่ง ต้องวอร์มอัพกันเสียก่อน “ม.มหิดล” แนะปลุกเยาวชนออกจากหน้าจอ กระตุ้นสมองและสมาธิด้วยกิจกรรมทางกายจะทำให้เกิดสมรรถนะสูงสุดได้

วันที่ 20 กันยายน ซึ่งตรงกับ “วันเยาวชนแห่งชาติ” ได้เวียนมาอีกครั้งในขณะที่สถานการณ์ โควิด-19 ก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ชีวิตของผู้คนเหมือนถูกแช่แข็งไว้ในห้องสี่เหลี่ยม

โดยมีช่องทางเดียวที่จะได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจากภายนอก คือ โลกออนไลน์ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กๆ ที่เปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ ซึ่งต้องเติบโตภายใต้แสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นแสงแห่งธรรมชาติ แต่กลับต้องมาโตหน้าจอ รับแสงซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์แทน

ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา หัวหน้าศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ภายใต้ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีบทบาทสำคัญทางด้านการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ มานานนับ 10 ปี

โดยในระดับประเทศเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)จัดทำคู่มือส่งเสริมการเรียนรู้ 3 มิติ เล่น เรียน รู้

และในระดับนานาชาติ คณะวิจัย TPAK นำโดย นายปัญญา ชูเลิศ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัยและพัฒนาของ TPAK ได้ร่วมกับ สมาคมกีฬาแห่งประเทศญี่ปุ่น จัดทำ “คู่มือการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในเด็กด้วยแนวคิด ACP (Active Child Program)

ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ ได้กล่าวถึงความภาคภูมิใจในฐานะที่ TPAK เป็น “ปัญญาของแผ่นดิน” ที่ได้สร้างสรรค์องค์ความรู้เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในด้านการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย และได้ผลักดันสู่ระดับนโยบาย ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “Great University Great Contribution” เพื่อการก้าวสู่มหาวิทยาลัยอันดับโลก ของมหาวิทยาลัยมหิดล ด้วยการทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติและมวลมนุษยชาติ

“ชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมเนือยนิ่งของเยาวชนเกิดจากสมองขาดการกระตุ้นให้พร้อมต่อการเรียนรู้ ซึ่งผลจากการวิจัยได้พิสูจน์แล้วต่อความเชื่อเดิมที่ว่าช่วงเวลาตื่นนอนเป็นเวลาที่เยาวชนพร้อมต่อการเรียนรู้มากที่สุดนั้นไม่ใช่ความเชื่อที่ถูกต้องที่สุด

เพราะการจะทำสมองให้พร้อมต่อการเรียนรู้ เปรียบเหมือนกับการเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนการออกกำลังกาย โดยจะต้องมีการวอร์มอัพ กันเสียก่อนจึงจะทำให้เกิดสมรรถนะสูงสุดได้”

ซึ่งการให้เด็กๆ ได้มีกิจกรรมก่อนการนำเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้เชิงวิชาการจะช่วยให้เด็กๆ มีสมาธิได้มากขึ้น ทั้งนี้ช่วงเวลาของสมาธิจะนานเพียงใดขึ้นอยู่กับอายุของเด็กด้วย โดยยิ่งเด็กๆ ที่มีอายุน้อย 

พบว่าจะสามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ไม่นานเท่าเด็กโต หรือผู้ใหญ่ จึงต้องมีการจัดกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวคั่นตารางเรียน หรือปรับให้เป็นไปในลักษณะของการ เรียนปนเล่น เพื่อให้เด็กๆ เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และไม่ปฏิเสธที่จะเข้าสู่บทเรียนซึ่งต้องใช้การคิดแบบวิเคราะห์ได้ต่อไป

กิจกรรมแนว เรียนปนเล่น ที่ ผู้ช่วยศ.ดร.ปิยวัฒน์ได้แนะนำสำหรับผู้ปกครองเพื่อใช้สร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์และผ่อนคลายที่บ้านในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ได้แก่ กิจกรรม “เรื่องเล่าเป่ายิ้งฉุบ” ที่ให้เด็กๆ ได้เล่นเป่ายิ้งฉุบสลับกับการแสดงท่าทาง เพื่อฝึกประสาทสัมผัสและการเชื่อมโยงของระบบประสาทสั่งการต่างๆ หรือ กิจกรรมการเล่นทายคำ โดยใช้ถ้วยกระดาษโยนเพื่อให้เด็กๆ ได้สลับกันทาย เป็นต้น

ซึ่งจากการที่ TPAK ได้ร่วมวิจัยกับประเทศญี่ปุ่นเพื่อการออกแบบกิจกรรมทางกายสำหรับเยาวชนที่ผ่านมาพบว่า รูปแบบการส่งเสริมการเล่นของไทยยังจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้มีความเหมาะสมในอีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ออกแบบกติกาในการเล่น การจัดตารางเวลาการเล่น การสอดแทรกทักษะตามช่วงวัยและความรับผิดชอบ และการให้ความสำคัญกับความปลอดภัย

ทั้งนี้ TPAK หวังให้คู่มือที่ได้สร้างสรรค์พัฒนาขึ้นดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของเด็กไทยให้ดีขึ้น เพื่อจะได้เป็นอนาคตที่สดใสพร้อมเป็นเมล็ดพันธุ์ซึ่งจะเติบโตเป็นกำลังสำคัญให้กับประเทศชาติได้ต่อไป