ขอบคุณทุกกำลังใจ!!! “อันยู๋ชิง” เปิดใจ หวังเป็นอุทาหรณ์ช่วยให้ไทยดีขึ้น มีโอกาสจะกลับมาเที่ยวอีก

“อันยู๋ชิง” ดาราสาวไต้หวัน โพสต์ขอบคุณทุกกำลังใจ ชี้ออกมาเผยเรื่องราวนี้ไม่ใช่หิวแสง แต่หวังเป็นอุทาหรณ์ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติระวังตัว และช่วยให้ไทยดีขึ้นได้ ถ้าสิ่งเลวร้ายแบบนี้หายไป มีโอกาสจะกลับไปเที่ยวไทยอีก

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. จากกรณี อันยู๋ชิง ดาราสาวชาวไต้หวัน ได้โพสต์ไอจีขอเปิดใจเรื่องราวที่เกิดในประเทศไทยเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมระบุว่า ทําไมความจริงและคําโกหกที่บิดเบือน? ฉันขอขอบคุณทุกคนจากใจจริงสําหรับความห่วงใย และกําลังใจของคุณ ฉันตกลงที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อครั้งสุดท้าย ฉันจะแชร์รายละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์อันบอบช้ำของฉันในประเทศไทยเป็นครั้งสุดท้าย โปรดให้เวลาและพื้นที่ในช่วงเวลาที่ยากลําบากนี้กับฉัน นอกจากนี้เธอยังโพสต์คลิปลงไอจีสตอรี่ ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน พร้อมแคปชั่นขอบคุณ BBC Thai, BBC News และ BBC Chiness ตามที่รายงานนั้น

ล่าสุด อันยู๋ชิง ได้โพสต์ไอจี ถึงประกาศสำคัญอีกครั้งเป็นภาษาอังกฤษและจีน โดยระบุว่า ขอขอบคุณบีบีซีและทุกสื่อมวลชนจากไต้หวัน ที่ได้สละเวลาอันมีค่า เพื่อมารับฟังและแบ่งปันความจริง ขอขอบคุณทุกถ้อยคำของทุกคนที่ให้กำลังใจ สนับสนุน และความห่วงใย ในการที่จะช่วยให้ฉันก้าวผ่านช่วงเวลาแห่ง “ความมืดมน” ที่แสนเจ็บปวดฝังลึกในใจนี้ไปได้ ขอขอบคุณสำหรับมิตรภาพใหม่ ๆ มากมายที่ชาวไทยได้มอบให้ คุณได้สอนฉันว่า ความกล้าหาญนั้นไม่มีอุปสรรคด้านภาษา ฉันตั้งตารอคอยว่าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นในการไปเยี่ยมอีกครั้งในอนาคต ขอให้ความจริงได้พบทางของมัน ขอให้นี่เป็นจุดสิ้นสุด และขอแสดงความนับถือ ลงชื่อ อันยู๋ชิง

ท่ามกลางประชาชนชาวไทยที่เข้าไปคอมเมนต์ขอโทษและให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวในไอจีสตอรี่ของเธอก็ได้โพสต์ข่าว นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แฉตำรวจในประเด็นดังกล่าว และยังรีโพสต์เฟซบุ๊กของนายชูวิทย์ ที่ระบุ “เตรียมพบกับการสัมภาษณ์พยานชาวสิงคโปร์ที่จ่ายเงินให้ตำรวจ และจะเดินทางมาพบผมพรุ่งนี้ โดยผมออกค่าใช่จ่ายให้ทั้งหมด ส่วน 27,000 บาท ผบ.ตร. ต้องหามาคืนเขาเองนะครับ” โดย อันยู๋ชิง ได้เขียนข้อความว่า Thank you ขอบคุณค่ะ

อย่างไรก็ตาม อันยู๋ชิง ยังเปิดใจให้สัมภาษณ์กับทางผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย ผ่านโปรแกรมซูม ระบุว่า สวัสดีค่ะ ฉัน อันยู๋ชิง หรือเรียกว่า ชาลีน อัน ก็ได้ ฉันออกมาให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อสร้างกระแส หรือกล่าวหาว่าตำรวจไทยกระทำผิด ฉันแค่ไม่อยากถูกใส่ร้ายป้ายสีอีกแล้ว ฉันรู้ดีว่า ท้ายสุดความจริงของเรื่องนี้คงไม่มีวันกระจ่าง ก่อนกล่าวต่อไปว่า หลังจากเที่ยวไนต์คลับแล้ว ฉันช่วยเพื่อนเรียกรถแท็กซี่ก่อน ซึ่งจากช่วงที่รอรถไปจนสิ้นสุดเหตุการณ์กับตำรวจ ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ชาลีน อัน แก้ไขความเข้าใจผิด ที่สื่อบางสำนักรายงานว่า เธออยู่กับตำรวจนานกว่า 2 ชั่วโมง เรื่องเวลาที่แน่ชัดนั้น เธอไม่ขอแสดงความเห็น เพราะเวลานั้น เธอมีเพียงโทรศัพท์มือถือ และไฟส่องสว่างบริเวณนั้นไม่มากนัก ทำให้กะเวลาไม่ได้ แต่คิดว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงเวลาตี 1 ถึงตี 3 ของวันที่ 5 ม.ค.

อันยู๋ชิง กล่าวต่อว่า เราเจอด่านตำรวจ ก้าวลงมาจากรถ แล้วถูกตำรวจตรวจกระเป๋า เธอเล่าถึงข้อมูลที่เคยปรากฏในหน้าสื่ออยู่แล้ว แต่ยืนกรานว่า พยายามขอให้เพื่อนบันทึกการกระทำของตำรวจ แต่ถูกตำรวจเดินเข้ามาห้าม แล้วลบภาพและวิดีโอออกไป ก่อนบอกอีกว่า เพื่อนของฉัน (คนสิงคโปร์) พอรู้ภาษาไทย เลยไปคุยกับตำรวจ ฉันอยู่ตรงนั้นตอลด แต่ฉันไม่ค่อยเข้าใจภาษา เพื่อนฉันบอกว่า ตำรวจต้องการเงิน 27,000 บาท แต่สิ่งที่ ชาลีน อัน ไม่คาดคิดคือ ตำรวจนำบุหรี่ไฟฟ้ามายัดใส่มือเธอแล้วถ่ายรูป ก่อนจะเรียกแท็กซี่ให้ เธอยังยืนกรานว่า รู้ตัวดีว่าไม่ได้เมา และแน่นอนว่า ไม่มีบุหรี่ไฟฟ้าอยู่กับตัวเวลานั้น คนอื่นมีหรือเปล่าเธอไม่รู้ แล้วเธอก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าบุหรี่ไฟฟ้านั่นไม่ใช่ของเธอ เนื่องจากตำรวจลบภาพและวิดีโอไปหมด

ก่อนที่ตำรวจจะปล่อยเธอและเพื่อนไป ได้ให้เหตุผลว่า เพราะพวกเธอดูไม่ใช่คนอันตราย ก่อนตั้งคำถามว่า แต่ถ้าฉันไม่ใช่คนอันตราย ทำไมยื้อฉันไว้กว่า 45 นาที สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ คือ ฉันต้องให้ความร่วมมือ เราอาจกระทำอะไรผิดพลาดไปโดยไม่ตั้งใจก็ได้ แต่ด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยี ทำไมตำรวจไม่ใช้ Google Translate ช่วยแปลภาษา ทำไมไม่ออกใบสั่งมาอย่างถูกต้อง กลายเป็นว่าตำรวจให้เราจ่ายเงิน แล้วเลี่ยงกล้องวงจรปิดด้วย ความจริงเลยขึ้นอยู่กับว่าสังคมจะตีความยังไง แต่พวกเราทุกคนมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ส่วนภาพที่ปรากฏให้เห็นว่า เธอไปเดินตลาดกลางคืนแถวห้วยขวางต่อ หลังผ่านพ้นด่านตำรวจไปแล้วนั้น ชาลีน อัน อธิบายว่า พวกเธอวางแผนจะไปทานอาหารที่ร้านอาหารในแถบนั้นอยู่แล้ว และตลาดแห่งนั้นก็อยู่ใกล้กับร้านอาหาร

โดยหลังจากบีบีซีไทย ได้เล่าถึงความคืบหน้าของประเด็น ชาลีน อัน ให้ฟังเพื่ออัพเดทสถานการณ์ โดยเธอกล่าวเพียงว่า ฉันคิดว่าทุกคนมีคำตอบในใจแล้ว อยู่ที่ใครจะตัดสินอย่างไร ฉันไม่ใช่วีรสตรี ไม่ได้อยากต่อสู้กับตำรวจไทย จากนั้นบีบีซีไทยยังได้สอบถามเธออีกว่า จะไม่กลับมาประเทศไทยอีกจริงหรือไม่ และ ชาลีน อัน ยังตอบอีกว่า ตอนที่กล่าวว่าจะไม่เหยียบไทยอีก คือความรู้สึกหลังผ่านสิ่งเวลาร้ายมา แต่ตอนที่โพสต์นั้นถึงเวลานี้ได้ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว พอมาทบทวนตัวเอง ฉันคิดว่าฉันคงเคยทำกรรมมา เลยต้องมาเจออะไรแบบนี้ ถ้ามีโอกาส ฉันจะกลับไปไทยอีกในอนาคต ฉันยังรักประเทศไทย ฉันยังชอบหลายอย่างในไทย ไทยมีสถานที่สวยงามมากมาย วัฒนธรรมทรงคุณค่า และอาหารที่อร่อย แต่เธอย้ำว่าในเวลานี้คงยังไม่กลับมาไทย เพราะเธอกลัว เธอกลับมาไต้หวันได้อย่างปลอดภัย แล้วถ้าให้กลับไปไทยแล้วเจออะไรแบบนี้อีก เธอก็รู้สึกกลัว

ตลอดการสัมภาษณ์นานกว่า 30 นาที ชาลีน อัน ย้ำกับบีบีซีไทยตลอดว่า เธอเป็นเพียงนักท่องเที่ยวธรรมดาคนหนึ่งที่ต้องการแบ่งปันประสบการณ์ที่แปลกประหลาดและเลวร้ายสำหรับตัวเธอ เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติคนอื่น ๆ ที่เดินทางไปประเทศไทย โดยเฉพาะคนเอเชีย และคนที่พูดภาษาจีนกลางเป็นหลัก โดยเผยว่า ฉันอยากแบ่งปันเรื่องราวของฉัน ทุกคนจะได้ตระหนักว่ามีภัยอันตรายแบบนี้ ฉันก็แค่คนธรรมดา ฉันต่อสู้รัฐบาลหรือประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ได้ ฉันแค่นักท่องเที่ยวที่อยากบอกเล่าเรื่องที่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก นอกจากนี้ดาราสาวชาวไต้หวันยังเชื่อว่า เธอเป็นเพียงหนึ่งในเหยื่อ เพราะเชื่อว่า มีคนไทยและชาวต่างชาติอีกจำนวนมากที่เผชิญเรื่องราวที่เลวร้ายเหมือนกับเธอ

รวมทั้งอีกปัจจัยที่เธอคิดว่าทำให้คนไทยสนใจกับโพสต์แบ่งปันประสบการณ์ของเธอ คือ กรณีข่าวนักท่องเที่ยวหญิงจีน “เที่ยวไทยแบบ VVIP” โดยกล่าวว่า ฉันไม่รู้ว่าทำไมเรื่องนี้ถึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ มีข่าวนักท่องเที่ยวจีนจ่ายเงินใช้บริการรถตำรวจไทยได้ แล้วก็มาเกิดเรื่องของฉันอีก สำหรับ ชาลีน อัน แล้ว ความสนใจในเรื่องราวของเธอ ไม่ใช่เรื่องที่เธอภาคภูมิใจ เพราะการต้องพูดถึงประสบการณ์อันเลวร้ายซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งทำให้บาดแผลในใจฝังลึก แต่ถ้าเรื่องราวของเธอจะช่วยตีแผ่ปัญหานี้ และเป็นอุทาหรณ์ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติระมัดระวังตัวมากขึ้น เธอก็รู้สึกดีใจ ก่อน ชาลีน อัน จะทิ้งท้าย “หวังว่าเรื่องราวของฉันช่วยให้ไทยดีขึ้นได้ ช่วยตีแผ่สิ่งที่คนธรรมดาต้องเผชิญ และถ้าสิ่งเลวร้ายแบบนี้หายไป ฉันจะกลับไปไทยอีก”

ขอบคุณข้อมูล www.bbc.com/