- ซาบินา เนสซา วัย 28 ปี ครูสาวโรงเรียนประถมในกรุงลอนดอนเสียชีวิตถูกพบเป็นศพบริเวณสวนสาธารณะ สะเทือนขวัญชุมชนแสนสงบทางใต้ของกรุงลอนดอน
- นักสืบคาดถูกฆาตกรรมระหว่างเดินจากบ้านไปยังผับ ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาที ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเป็นชายวัย 36 ปี
- นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุความรุนแรงต่อผู้หญิงในกรุงลอนดอน ก่อนหน้านี้เคยเกิดคดีฆาตกรรมซาราห์ เอฟราร์ด มาแล้ว ปลุกกระแสต้านความรุนแรงต่อสตรีที่เปรียบเสมือนโรคระบาดที่ฝังรากลึกในสังคม
เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นในกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ เมื่อซาบินา เนสซา ครูโรงเรียนประถม สาววัย 28 ปี จากตอนใต้ของกรุงลอนดอน ได้เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ ซึ่งตำรวจคาดว่าเธอถูกฆาตกรรมระหว่างที่เดินจากบ้านไปหาเพื่อนที่ผับ ซึ่งใช้เวลาการเดินเพียง 5 นาทีเท่านั้น คดีดังกล่าวทำให้ประเด็นความรุนแรงต่อผู้หญิงถูกหยิบยกกลับมาพูดถึงอีกครั้ง
รายงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชี้ว่า เนสซา ครูโรงเรียนประถมรัชชีย์ กรีน ได้ออกจากบ้านในเวลาราว 20.30 น. ของวันที่ 17 ก.ย. 64 ตามเวลาท้องถิ่น นักสืบเชื่อว่าเธอได้เดินผ่านสวนสาธารณะคาร์เตอร์ พาร์ก เพื่อไปที่บาร์แห่งหนึ่งย่านคิดบรูก ซึ่งเป็นสถานที่ที่เธอได้นัดเพื่อนไว้
แต่ใครจะไปคาดคิดระหว่างการเดินที่ใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาที การเดินผ่านสวนสาธารณะในย่านที่หลายคนวางใจว่าปลอดภัย จะกลับมีคนร้ายเข้าจู่โจมทำร้ายครูสาวจนเสียชีวิต ซึ่งร่างไร้วิญญาณของเธอได้ถูกพบในวันถัดไป
“การเดินทางของเนสซา ที่ควรจะใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาที แต่เธอไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้” นักสืบโจ เกรริตี กล่าว “เราทราบว่าคนในชุมชนยังคงช็อกกับเหตุการณ์ฆาตกรรมในครั้งนี้ พวกเราก็เช่นกัน และเราจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อนำคนผิดมาดำเนินคดี” ขณะที่ครอบครัวของครูสาวยังอยู่ในอาการเศร้าโศกเสียใจ โดยทางครอบครัวระบุว่า นี่เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของพวกเขา พี่สาวของผู้เสียชีวิตเปิดใจว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหมือนกับการติดอยู่ในฝันร้ายที่ไม่มีทางออก และไม่ควรมีครอบครัวไหนต้องมาเจอเรื่องที่เลวร้ายเช่นนี้อีก
ด้านตำรวจกรุงลอนดอนได้จับกุม Koci Selamaj ชายวัย 36 ปี พร้อมตั้งข้อหาฆาตกรรมครูสาวโดยยังไม่เปิดเผยแรงจูงใจหรือรายละเอียดเพิ่มเติม
ส่วนคนในชุมชนได้ออกมาไว้อาลัยด้วยการจุดเทียนและวางดอกไม้บริเวณสวนสาธารณะ ซึ่งหนึ่งในหญิงที่อาศัยอยู่ในชุมชนยอมรับว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เธอกลัว เพราะเหตุการณ์ลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ในชุมชน
ย้อนรอยคดีสะเทือนขวัญฆาตกรรมซาราห์ เอฟราร์ด
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุหญิงสาวถูกฆาตกรรมในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก่อนหน้านี้เพียง 6 เดือน ได้เกิดคดีฆาตกรรม ซาราห์ เอฟราร์ด ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับคดีของเนสซา เรียกได้ว่าแทบจะถอดพล็อตเรื่องเดียวกันมา ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ซาราห์ เอฟราร์ด ผู้บริหารการตลาดสาววัย 33 ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ขณะเธอกำลังเดินกลับจากบ้านเพื่อนย่านแคลปแฮม ทางตอนใต้ของกรุงลอนดอนไปยังบ้านในย่านบริกส์ตัน มีระยะทางราว 4 กิโลเมตร วันถัดมาแฟนหนุ่มของเธอได้แจ้งการหายตัวไปต่อตำรวจ และมีการประกาศตามหาพร้อมทั้งติดป้ายภาพถ่ายของเธอตามจุดต่างๆ ในกรุงลอนดอน ด้านตำรวจได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในบริเวณดังกล่าว และพบว่าเอฟราร์ดเดินกลับบ้านคนเดียว ก่อนที่จะหายตัวไป
หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกตามหาอยู่ร่วมสัปดาห์ วันที่ 10 มี.ค. 64 เจ้าหน้าที่ก็พบกระสอบต้องสงสัยบริเวณป่าเมืองเคนต์ ซึ่งภายในมีร่างของหญิงคนหนึ่งถูกฆาตกรรมและนำมาทิ้งเอาไว้ จากการตรวจสอบก็พบว่าร่างที่ถูกพบคือ ซาราห์ เอฟราร์ด หญิงที่หายตัวไป สร้างความโศกเศร้าให้กับผู้ที่ทราบข่าว
ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว นายเวนน์ คูเซนส์ วัย 48 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจกรุงลอนดอน ในข้อหาฆาตกรรมซาราห์ เอฟราร์ด เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับกลายเป็นผู้ที่กระทำความผิดเสียเอง ทำให้คดีฆาตกรรมในครั้งนี้จุดประเด็นสวัสดิภาพของผู้หญิงที่แค่เพียงเดินทางกลับบ้านในย่านที่ผู้คนพลุกพล่านก็ไม่ปลอดภัย
เรียกร้องความเปลี่ยนแปลงความรุนแรงต่อสตรี
คดีหญิงสาวถูกฆาตกรรมในเมืองหลวงอังกฤษ ได้ทำให้ผู้หญิงทุกเพศทุกวัยออกมาเรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลง และต่อต้านความรุนแรงต่อสตรี โดยสถิติจากสำนักงานสถิติแห่งชาติและรัฐบาลสกอตแลนด์ชี้ว่า ระหว่างเดือนมีนาคม ปี 2019 และปี 2020 มีผู้หญิงถูกฆาตกรรมถึง 200 ศพ ขณะที่กลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านความรุนแรงต่อผู้หญิงมองว่า รัฐบาลอังกฤษยังคงเมินเฉยต่อประเด็นดังกล่าว และมีบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่าคดีของเอฟราร์ดนั้นได้รับความสนใจมากกว่าเนสซา ซึ่งเป็นหญิงผิวสี
พิธีไว้อาลัยให้แก่เนสซา ที่จัดขึ้นในย่านคิดบรูก ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ขณะที่ เคท มิดเดิลตัน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ ทรงเผยแพร่ข้อความผ่านทวิตเตอร์แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ด้านรัฐบาลท้องถิ่นได้เพิ่มมาตรการเพื่อความปลอดภัย เช่น ติดไฟส่องสว่างบนถนน แต่หลายฝ่ายมองว่าอาจยังไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อสตรีที่ยังคงฝังรากลึกในสังคม.