“ชูวิทย์” ลุยฟ้องศาลแพ่งเรียกเงินพรรคภูมิใจไทย 1,000 ล้านบาท ปมนโยบายกัญชาทำร้ายประชาชน โดยค่าเสียหาย จะนำไปใส่ในกองทุนเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกัญชา
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 11 พ.ค. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จัดกิจกรรมวิ่งต่อต้านกัญชาเสรี “วิ่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงชัยชนะ” โดยเริ่มต้นที่สวนลุมพินี ก่อนจะวิ่งไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสิ้นสุดที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
โดยนายชูวิทย์ เปิดเผยก่อนเริ่มวิ่ง ว่า วันนี้ตนเองมาวิ่งคนเดียว แต่ใครอยากมาร่วมวิ่งก็ได้ ซึ่งจะมีตำรวจมาอำนวยความสะดวกเรื่องการจราจร และจะวิ่งไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร จากนั้น มุ่งหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยถนนราชดำเนิน ระยะทางรวม 10 กิโล ซึ่งตนเองมีอายุ 60 กว่าปี ลุกขึ้นมาวิ่งต่อต้านกัญชาเสรี เพื่อสะท้อนเจตนาบริสุทธิ์ของประชาชนที่ต้องการให้บทเรียนกับพรรคการเมือง ที่ขยันออกนโยบายและกระทบสิทธิ์ของพลเมืองอย่างตน ซึ่งทุกคนมีสิทธิ ตนจึงจำเป็นต้องใช้สิทธิ เพื่อเป็นบทเรียนแก่พรรคภูมิใจไทย ที่ออกนโยบายกัญชาเสรีสร้างผลกระทบต่อชุมชน
ส่วนกรณีพรรคภูมิใจไทย ฟ้องเพื่อปิดปาก ตนเป็นประชาชนไม่มีอาวุธ ไม่มีกองกำลัง มีเพียงลูกน้อง 1-2 คน ที่คอยช่วยยกของ และล่าสุดที่พรรคภูมิใจไทย ร้องศาลแพ่งให้ไต่สวนฉุกเฉินเพื่อคุ้มครอง สั่งห้ามไม่ให้ตนเดินทางไปยังเวทีปราศรัยใหญ่ของภาคในวันพรุ่งนี้ (12 พ.ค.) ศาลก็ออกคำสั่งทันทีว่า เป็นการละเมิดและจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และไม่คุ้มครอง เนื่องจากตนเองไม่ได้มีกองกำลัง หรือใช้กำลัง หรือไปปิดสนามบินเหมือนนายสนธิ และศาลท่านก็เห็นว่า เหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ควรไปจำกัดสิทธิเสรีภาพ
ส่วนในวันพรุ่งนี้ ตนจะเดินทางไปเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรคภูมิใจไทยหรือไม่นั้น ไม่ขอตอบ เนื่องจากหากประกาศว่า ตนจะเดินทางไป อาจจะมีการเตรียมการเพื่อรอรับ แต่หากไปตนเดินทางไปเพียงคนเดียว เพื่อแสดงออกทางสิทธิเสรีภาพของในมุมประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกัญชา ทั้งนี้ ในวันพรุ่งนี้เวลา 09.00 น. ตนจะเปิดเผยบุคคลที่อยู่เบื้องหลังในการให้ข้อมูลเพื่อต่อต้านกัญชาเสรีที่ศูนย์ต่อต้านกัญชา โดยจะมีเครือข่ายทางการแพทย์ 50-60 คน แสดงให้เห็นว่า ตนเองไม่ได้สู้อย่างโดดเดี่ยว
จากนั้นเวลา 13.30 น. จะเดินทางไปศาลแพ่ง เพื่อฟ้องพรรคภูมิใจไทยและเรียกค่าเสียหาย 1,000 ล้านบาท เนื่องจากนำนโยบายสาธารณะมาทำให้ประชาชนรับผลร้ายจากกัญชา เพื่อให้เห็นว่านโยบายกัญชากระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยค่าเสียหาย 1,000 ล้านบาท จะนำไปใส่ในกองทุนเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกัญชา โดยกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้ดูแล ช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2565 มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกัญชาเสรีจำนวนมาก ทั้งที่ไม่ได้เสพ แต่ได้รับผลกระทบจากกลิ่น หรือกลุ่มคนที่เสพจนช็อก และต้องนอนโรงพยาบาล รวมถึงกลุ่มคนที่บอกว่ารักษามะเร็งหายจากการใช้กัญชา แต่กลับพบว่าไม่มีใครรักษาหาย แต่เสพกัญชาจนเป็นมะเร็ง ส่วนการที่พรรคภูมิใจไทย เตรียมที่จะดำเนินการกับพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ให้พื้นที่ตนเองนั้น ขอให้พรรคภูมิใจไทย ไปเตรียมตัวรับมือกับประชาชนที่จะดำเนินคดีกับพรรคดีกว่า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการดูแลความเป็นระเบียบร้อย โดยเฉพาะบริเวณท้องถนนและการจราจรในวันนี้ พบว่า พันตำรวจเอก ภพธร จิตต์หมั่น รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 และ พันตำรวจเอก นิมิตร นูโพนทอง ผู้กำกับการ สน.ลุมพินี พร้อมด้วยกำลังสายตรวจและสืบสวนกว่า 50 นาย ได้เข้ามาดูแลในพื้นที่ตลอดการวิ่งต่อต้านกัญชาเสรีของนายชูวิทย์ โดยจะใช้เส้นทางการวิ่ง เริ่มจากสวนลุมพินี มุ่งไปใช้ถนนราชประสงค์ ผ่านประตูน้ำแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเพชรบุรี ก่อนตัดขวามาออกที่แยกราชเทวี ไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผ่านตึกชัย แล้วเลี้ยวซ้ายตรงถนนพระราม 6 ตรงยาวผ่านแยกอุรุพงษ์เข้าอยู่ยมราช ผ่านไปทางหลานหลวง ก่อนไปยังสะพานผ่านฟ้าลีลาศ และเข้าสู่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ระยะทางราว 10 กิโลเมตร
นอกจากนี้นายชูวิทย์ ยังกล่าวถึงการตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนการโกงเลือกตั้ง ว่าขณะนี้มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาแล้ว หลายเรื่องซึ่งมีครบทุกภาคของประเทศไทย หนักสุดคือภาคใต้และภาคอีสาน ส่วนภาคกลาง คือ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี ฯลฯ ยืนยันว่ามีทุกจังหวัด และในวันเลือกตั้งที่ 14 พ.ค. จะเปิดศูนย์รายงานสถานการณ์การเลือกตั้ง รวมทั้งการทุจริตการเลือกตั้งแบบเรียลไทม์ พร้อมยืนยันว่า คนอย่างตนนี่แหละ จะเป็นคนให้บทเรียนกับนักการเมือง
เมื่อถามถึงกรณีที่นายชูวิทย์ ออกมาพูดถึงการโกงเลือกตั้ง แต่ กกต. ค่อนข้างนิ่งมาก นายชูวิทย์ ระบุว่า กกต. ได้รับการแต่งตั้งมา ตนจึงไม่ทราบว่าคิดอย่างไร แต่อย่าถามตนคนเดียว ทุกๆ คน ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ความผิดพลาดของ กกต. ในการเลือกตั้งล่วงหน้านั้น ให้อภัยไม่ได้ ดังนั้น การดำเนินคดีหรือฟ้องศาลต่อ กกต. เช่นเดียวกับกรณีของ พล.ต.อ.วาสนา พูลลาภ ที่กลับหลังหันคูหา กรณีเดียวกัน แต่ตนต้องรวบรวมเอกสารหลักฐานให้ชัดเจน เพราะครั้งก่อนเป็นการกระทำโดยเปิดเผย แต่กรณีของตนนั้น ต้องรวบรวมผู้เสียหาย และมีพยานหลักฐานอันมั่นคง จึงต้องใช้เวลา