Metaverse (เมตาเวิร์ส) กลายเป็นคำที่เริ่มถูกพูดถึงในแวดวงเทคโนโลยีและการลงทุน โดยเฉพาะหลังจาก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง “Facebook” ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น “Meta” นับเป็นการปลุกกระแสให้โลกของ Metaverse ถูกจับตามองมากยิ่งขึ้น
คำว่า “Metaverse” กำเนิดมาจากนิยายวิทยาศาสตร์
จุดเริ่มต้นของคำว่า Metaverse ปรากฏครั้งแรก ในหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง “Snow Crash” ของ Neal Stephenson นักเขียนชาวอเมริกัน ในปี 1992 ซึ่งเล่าเรื่องราวของโลกยุคอนาคต ที่มนุษย์และคอมพิวเตอร์ตอบโต้กันผ่านเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ต่างๆ โดยอาศัยอยู่ในพื้นที่โลกเสมือนจริงที่ล้ำสมัย เกินจินตนาการของคนยุค ’90s กล่าวได้ว่านวนิยายเรื่อง Snow Crash ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจสู่การสร้างโลก Metaverse ในปัจจุบัน
รู้จักความหมายของ “Metaverse” คืออะไร?
Metaverse คือ การสร้างสภาพแวดล้อมของโลกแห่งความจริงและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน จนกลายเป็น “ชุมชนโลกเสมือนจริง” ที่สามารถผสานวัตถุรอบตัวและสภาพแวดล้อมให้เชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว โดยอาศัยเทคโนโลยี AR และ VR เข้ามาช่วยเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อให้กลายเป็นพื้นที่โลกเดียวกัน
- AR หรือ Augmented Reality คือ การนำเทคโนโลยีมาผสานโลกแห่งความจริงและวัตถุต่างๆ เข้าด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น การสร้างตัวละคร Avatar ผ่านสมาร์ทโฟน, สร้างฟิลเตอร์กล้องถ่ายรูป, การเล่นเกม Pokémon GO, โฮโลแกรมภาพ 3 มิติ เป็นต้น
- VR หรือ Virtual Reality คือ การจำลองภาพให้เสมือนจริงแบบ 360 องศา โดยอาจต้องใช้อุปกรณ์เสริมอย่าง แว่นตา VR เพื่อจำลองการรับรู้ การมองเห็น และการได้ยินเสียง ในโลกเสมือนจริง เช่น จำลองการกระโดดร่ม, การขับเครื่องบิน, การเล่นเกมแนวต่อสู้ เป็นต้น
Metaverse มีประโยชน์อย่างไร?
Metaverse สามารถช่วยจำลองให้เราไปอยู่ในสถานที่ต่างๆ ได้ แม้จะนั่งอยู่กับที่ก็ตาม โดยอาศัยการเชื่อมต่อผ่านรูปแบบต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ต, อุปกรณ์, สมาร์ทโฟน, แอปพลิเคชัน และซอฟต์แวร์ ถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังปลุกกระแสเพื่อปูทางไปสู่โลกแห่งอนาคต
แม้ว่าในช่วงแรกๆ จะเริ่มมีการนำ Metaverse มาใช้ในแวดวงเกมออนไลน์ แต่ในภายหลังเริ่มมีการเข้าไปลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีด้านต่างๆ เพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่สามารถครอบคลุม และรองรับเทคโนโลยี Metaverse ในอนาคตได้
ยกตัวอย่าง Facebook ที่ได้กระจายการลงทุนไปหลายแพลตฟอร์ม รวมถึง Oculus Go แว่นตาเทคโนโลยี VR ที่เคยสร้างเสียงฮือฮาเมื่อหลายปีก่อน อีกทั้งแว่นตา Ray-Ban Stories ที่แสดงให้เห็นความชัดเจนของ Facebook ที่ไม่ได้ต้องการเป็นเพียงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่ยังมุ่งหน้าสู่การขยายไปสู่โลก Metaverse
นอกจากนี้ Metaverse 5G ก็ยังถูกพูดถึงอย่างมาก เนื่องจากเทคโนโลยี 5G คือพื้นฐานสำคัญที่ช่วยเพิ่มความเร็วของอินเทอร์เน็ต และการถ่ายโอนข้อมูลความเร็วสูง กลายเป็นยุค “Internet of Things” ที่จะนำไปสู่การพัฒนาและใช้ประโยชน์จาก Metaverse ในด้านต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น
- ด้านการแพทย์ : ใช้ในการผ่าตัดทางไกล, จำลองการผ่าตัดเสมือนจริง
- ด้านวิศวกรรม : ใช้ในการออกแบบหุ่นยนต์, ออกคำสั่งทางไกลในการปฏิบัติงาน
- ด้านอีคอมเมิร์ซ : ใช้ในการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์, จำลองใช้สินค้าโดยไม่ต้องไปที่ร้านค้า
- ด้านการลงทุน : ใช้ในการซื้อสินค้า NFT ออนไลน์, เทรดคริปโตฯ
- ด้านท่องเที่ยว : ใช้ในการจำลองท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์, จำลองสถานที่ต่างๆ
- ด้านบันเทิง : ใช้ในการจัดคอนเสิร์ตเสมือนจริง, สร้างตัวละครเสมือนจริงในภาพยนตร์
ไม่เพียงเท่านั้น หนึ่งในคำแถลงของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก หลังการเปลี่ยนชื่อ Facebook เป็น Meta นั้น เขาให้ความเห็นว่า โลกของ Metaverse จะสร้างอนาคตที่ทำให้ผู้คนได้มีส่วนร่วมและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น และจะไม่ได้เป็นแค่ผู้บริโภคอย่างเดียว แต่จะสามารถเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงาน (Creator) ได้ด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม แม้ในวันนี้ Metaverse อาจเป็นสิ่งที่หลายคนยังเห็นภาพไม่ชัดนัก แต่ก็เชื่อว่าในอนาคต Metaverse ก็จะกลายเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนคุ้นเคย เหมือนเช่นโทรศัพท์มือถือที่เมื่อหลายสิบปีก่อน คงไม่มีใครคิดว่าจะกลายเป็นสมาร์ทโฟน ที่สามารถย่อโลกทั้งใบไว้ในมือเดียวได้