ไฟไหม้บ้าน “พญาปี่” ปราชญ์ชาวบ้านย่านปากเกร็ด คลอกเมียและหลานชายดับ 2 ศพ ร่างไหม้เกรียมเป็นตอตะโก คาดสาเหตุไฟฟ้าลัดวงจร อีกรายไฟไหม้คลังเก็บน้ำมันเครื่องใน อ.สามพราน กลุ่มควันดำทะมึน ชาวบ้านในพื้นที่ต่างผวาน้ำมันเครื่องไหลลงท่อหนีตายกันอลหม่าน เจ้าหน้าที่ระดมฉีดน้ำกว่า 3 ชม. เพลิงจึงสงบ ตรวจสอบโรงงานดังกล่าวเคยเกิดไฟไหม้ใหญ่มาแล้วเมื่อเดือน เม.ย. แล้วมาเกิดซ้ำสองค่าเสียหายร่วม 20 ล้านบาท
เหตุไฟไหม้บ้าน “พญาปี่” คลอกเมียและหลานชายดับ 2 ศพ เปิดเผยเมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมา พ.ต.ท.จรัส จันสา สว. (สอบสวน) สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี รับแจ้งเหตุไฟไหม้บ้านเลขที่ 73/12 หมู่ 1 ซอยวัดกู้ ถนนแจ้งวัฒนะ ต.ปากเกร็ด ไปสอบสวนพร้อมรถดับเพลิงเทศบาลนครปากเกร็ด และเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ครึ่งตึกครึ่งไม้ เนื้อที่ 60 ตารางวา ไฟโหมไหม้ชั้นบนอย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่เร่งช่วยกันฉีดน้ำสกัดไฟใช้เวลากว่า 1 ชม.เพลิงจึงสงบ ตรวจสอบภายในบ้านใกล้บันได พบศพนางวารุณี ศาสนนันทน์ อายุ 60 ปี และ ด.ช.กฤตธี ศาสนนันทน์ อายุ 5 ขวบ สภาพร่างไหม้ดำเป็นตอตะโก นอกจากนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 คน ทราบชื่อ จ.อ.สุวรรณ หรือพญาปี่ ศาสนนันทน์ อายุ 61 ปี เจ้าของบ้าน และอดีตทหารเรือ สังกัดกองดุริยางค์ทหารเรือ ถูกไฟคลอกตามร่างกาย และ ส.ต.ต.หญิง สโรชา ศาสนนันทน์ อายุ 22 ปี สังกัดกองดุริยางค์ตำรวจ หลาน จ.อ.สุวรรณ ถูกไฟลวกตามแขนและร่างกาย นำผู้บาดเจ็บทั้ง 2 คนส่ง รพ.
สอบสวนทราบว่า ช่วงเกิดเหตุ จ.อ.สุวรรณ นั่งอยู่ที่ชั้นล่างกับ ส.ต.ต.หญิง สโรชา หลานสาว ส่วนนางวารุณี ภรรยา จ.อ.สุวรรณ และหลานชายนั่งเล่นอยู่ที่ชั้น 2 เกิดกลุ่มควันพวยพุ่งจากชั้น 2 จ.อ.สุวรรณวิ่งขึ้นไปช่วยภรรยาและหลานชาย แต่ไฟลุกลามอย่างรวดเร็วจนถูกไฟลวกตามร่างกาย ส.ต.ต.หญิง สโรชารีบพยุงร่าง จ.อ.สุวรรณออกมานอกบ้านทำให้ได้รับบาดเจ็บไปด้วย ไฟโหมไหม้ที่ชั้น 2 ลุกลามไปทั้งหลัง เป็นเหตุให้นางวารุณีและหลานชายสำลักควันเสียชีวิตในกองเพลิง คาดสาเหตุไฟฟ้าลัดวงจร
สำหรับ จ.อ.สุวรรณ หรือพญาปี่ ศาสนนันทน์ อายุ 61 ปี เป็นอดีตทหารเรือ สังกัดกองดุริยางค์ทหารเรือ เป็นปราชญ์ชุมชนแห่ง อ.ปากเกร็ด เปิดบ้านเป็นแหล่งเรียนรู้และอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม (ดนตรีไทย) นอกจากนี้ยังเป็นผู้ประดิษฐ์ปี่ไฉนและปี่ชวาจากไม้มงคล 9 ชนิด เพื่อมอบให้วงดุริยางค์ไทย 4 เหล่าทัพ เมื่อปี 2560 เพื่อใช้เฉพาะงานออกพระเมรุในหลวงรัชกาลที่ 9
อีกรายเวลา 12.30 น. วันเดียวกัน พ.ต.ท.ธันวา สองวิหค สว. (สอบสวน) สภ.โพธิ์แก้ว อ.สามพราน จ.นครปฐม รับแจ้งเหตุไฟไหม้คลังเก็บน้ำมันบริษัท ประภากรออยล์ จำกัด ต.อ้อมใหญ่ อ.สามพราน ไปตรวจสอบพร้อมประสานรถดับเพลิงจากหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจากเทศบาลตำบลอ้อมใหญ่ เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์นครปฐม และอาสาสมัครร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุเป็นโรงงานเก็บสินค้าเชื้อเพลิงประเภททินเนอร์และน้ำมันหล่อลื่นทุกชนิด เนื้อที่ 1 ไร่ ไฟโหมลุกลามเป็นควันดำทะมึน รั้วด้านหลังของโรงงานติดกับตลาดธัญญา ศูนย์ซ่อมรถยนต์ฮอนด้า และบ้านเรือน ภายในโรงงานมีทินเนอร์และน้ำมันหล่อลื่นเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ขณะนั้นน้ำมันหล่อลื่นปะปนกับน้ำและโฟมไหลลงสู่คลองอ้อมใหญ่อยู่ด้านหลังของอาคาร ชาวบ้านต้องเตรียมขนย้ายสิ่งของเพราะกลัวไฟลามมาติดบ้าน สร้างความวุ่นวายโกลาหลเป็นอย่างมาก เจ้าหน้าที่ระดมรถน้ำและโฟมเร่งฉีดสกัดเพลิงใช้เวลากว่า 3 ชม.จนเพลิงสงบ มีผู้บาดเจ็บเป็นพนักงาน 1 คน
สอบถามนายนพรุจ อึ้งประภากร เจ้าของโรงงาน ทราบว่า โรงงานดังกล่าวเป็นคลังเก็บสินค้าประเภทน้ำมันเครื่องหล่อลื่นชนิดถัง 200 ลิตร และ 5 ลิตร ภายในมีน้ำมันเครื่องเก็บไว้ในสต๊อกเพื่อรอการส่งจำนวนนับหมื่นแกลลอน มีน้ำมันบรรจุรวมหลายแสนลิตร ขณะนี้ยังไม่ทราบถึงสาเหตุ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 เม.ย.64 เพลิงไหม้อาคาร 3 คูหา สูง 4 ชั้น เป็นที่เก็บน้ำมันหล่อลื่น ค่าเสียหายมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท ไฟไหม้เสียหายทั้งอาคาร เหลือแต่อาคารด้านหลังพนักงานขนย้ายน้ำมันหล่อลื่นมาเก็บไว้แล้วมาเกิดไฟไหม้อีกครั้งหนึ่ง ค่าเสียหายในครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท
ต่อมาเวลา 15.00 น. นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผวจ.นครปฐม พร้อมหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ฝ่ายโยธาธิการ ปภ. และอุตสาหกรรมจังหวัดนครปฐม เดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุ นายสุรศักดิ์เปิดเผยว่า ขณะนี้ตั้งศูนย์อำนวยการในที่เกิดเหตุ สั่งการให้นายอำเภอสามพราน เทศบาลตำบลอ้อมใหญ่ และหน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครปฐม ตรวจสอบความเสียหายของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาในเบื้องต้น ส่วนในเรื่องของมลพิษที่มีน้ำมันเครื่องไหลสู่คลอง สั่งการให้กรมชลประทานปิดประตูน้ำไว้แล้วเพื่อกักน้ำมันเครื่องไว้ไม่ให้กระจายไปที่อื่น และเร่งกำจัดน้ำมันเครื่องที่อยู่ในคลองและรอบข้างให้หมดโดยเร็ว ส่วนหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมตรวจมลพิษโดยรอบทั้งหมด แนะนำอย่างเคร่งครัดให้ชาวบ้านที่พักอาศัยอยู่ในรัศมี 1 กม. สวมหน้ากากอนามัยป้องกันไว้ก่อน