สำนักข่าวซีเอ็นบีซี รายงานในวันนี้ว่า วัคซีนโควิด-19 ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) ไม่ได้อยู่ในแผนรณรงค์ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster dose) ที่รัฐบาลสหรัฐประกาศไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ข้อมูลประสิทธิภาพวัคซีนที่ออกมาใหม่ ทางบริษัท J&J หวังจะเป็นส่วนหนึ่งในแผนกระจายวัคซีนเพิ่ม ในโครงการฉีดเข็มกระตุ้น ที่จะมีขึ้นในเดือน ก.ย.
“เราตั้งตารอจะหารือกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเกี่ยวกับวัคซีนโควิดของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ซึ่งขณะนี้ พิสูจน์ว่า วัคซีนโควิด-19 ชนิดเข็มเดียวของพวกเราสามารถสร้างการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันได้เป็นจำนวนมากและแข็งแกร่ง รวมทั้งคงทนและต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 8 เดือน” ดร. มาไท แมมเมน หัวหน้าวิจัยและการพัฒนาประจำยูนิตวัคซีนของแจนสเซน ซึ่งเป็นบริษัทลูกของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ระบุในแถลงการณ์
เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อนุมัติวัคซีน J&J ใช้กรณีฉุกเฉิน ซึ่งแสดงให้เห็นประสิทธิภาพป้องกันโควิด-19 อยู่ที่ 72% เป็นผลการทดลองทางคลินิก แต่การศึกษาดังกล่าว เกิดขึ้นก่อนจะมีสายพันธุ์เดลตาจะแพร่กระจายไปทั่ว
ล่าสุด มีผลการศึกษาที่เผยแพร่เมื่อต้นเดือนนี้ นักวิจัยชาวแอฟริกาใต้ค้นพบว่า วัคซีน J&J ป้องกันการเสียชีวิตจากสายพันธุ์เดลตาได้ถึง 95 % และลดความเสี่ยงอาการป่วยรุนแรง การรักษาในโรงพยาบาลได้ 71%
นอกจากนี้ ในการศึกษาใหม่ของวัคซีน จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ที่ได้ติดตามผลกับอาสาสมัคร 17 คน จากการทดลองทางคลินิกในปีที่แล้ว ซึ่งได้ฉีดบูสเตอร์โดสหลังได้รับวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว 6 เดือน พบว่า แอนติบอดีต้านโควิด-19 ของพวกเขาพุ่งสูงขึ้นถึง 9 เท่า สำหรับข้อมูลนี้ ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ มีรายงานการศึกษาเกี่ยวกับการฉีดบูสเตอร์โดสของโมเดอร์นา และไฟเซอร์-ไบออนเทค ออกมาอยู่บ้าง และพบว่ามีระดับแอนติบอดีที่พุ่งสูงขึ้น โดยที่ประสิทธิภาพวัคซีน J&J พอจะเทียบเคียงได้เหมือนกัน