ทางการโซมาเลียอ้างความสำเร็จในการยุติปฏิบัติการที่กลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรงได้ก่อเหตุวางระเบิด กราดยิง และบุกยึดโรงแรมฮายัตในกรุงโมกาดิชู เมืองหลวงของโซมาเลียแล้ว หลังใช้เวลาในการปิดล้อมและจัดการกับกลุ่มติดอาวุธนานถึง 30 ชั่วโมง
ตำรวจโซมาเลียเปิดเผยกับซีเอ็นเอ็นว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ศพ และบาดเจ็บอย่างน้อย 50 ราย แต่แพทย์ที่โรงพยาบาลมาดินา ระบุว่าจำนวนผู้เสียชีวิตน่าจะเพิ่มสูงขึ้น และเหยื่อหลายรายมีอาการสาหัส หลังคนร้ายใช้ระเบิดนำทาง และบุกเข้าไปในโรงแรมฮายัต เมื่อช่วงเย็นวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น โดยใช้ระเบิดติดรถยนต์โจมตีก่อนที่จะเปิดฉากกราดยิง และจับแขกของโรงแรมเป็นตัวประกัน โดยกลุ่มติดอาวุธ อัลชาบับ อ้างความรับผิดชอบในการโจมตีครั้งนี้
เอเอฟพีรายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่ของโซมาเลียว่า กองกำลังฝ่ายความมั่นคงได้ยุติการปิดล้อมและผู้ก่อเหตุเสียชีวิตแล้ว และไม่มีเสียงปืนดังออกมาจากอาคารในช่วงหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ขณะที่รอยเตอร์รายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่ข่าวกรองว่า จนถึงขณะนี้มีการยืนยันผู้เสียชีวิต 20 ศพ ขณะที่โรงแรมได้รับความเสียหายอย่างหนักหลังกองกำลังฝ่ายความมั่นคงได้ทำการระเบิดโรงแรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงค่ำวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม ถึงวันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม
เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวกับรอยเตอร์ว่า กลุ่มติดอาวุธใช้คาร์บอมบ์ 2 คัน เพื่อเปิดทางเข้าไปสู่โรงแรม โดยพุ่งเป้าที่บริเวณแนวกั้นด้านหน้าและกำแพงของโรงแรม หลังจากการระเบิด กลุ่มติดอาวุธ อัลชาบับ กล่าวว่า กลุ่มได้ก่อเหตุกราดยิงหลังจากใช้กำลังความรุนแรงบุกเข้าไปยังโรงแรม ซึ่งมักถูกใช้เป็นสถานที่พบปะของเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กองกำลังความมั่นคงเผชิญอุปสรรคในการเข้าถึงพื้นที่ในโรงแรมนานหลายชั่วโมง เนื่องจากกลุ่มมือปืน ซึ่งจับแขกในโรงแรมเป็นตัวประกันจำนวนมาก ได้ทำการระเบิดบันไดที่เจ้าหน้าที่ใช้สำหรับเข้าถึงจุดเกิดเหตุ
การก่อเหตุของกลุ่มอัลชาบับ ในครั้งนี้ ถือว่ารุนแรงที่สุด นับตั้งแต่ประธานาธิบดีฮัสซัน ชีค โมฮามุด ได้รับการเลือกตั้งและรับตำแหน่งผู้นำโซมาเลีย เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ กลุ่มอัล-ชาบับ ที่ปฏิบัติการอยู่ในโซมาเลียอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลานานกว่า 15 ปี มีเป้าหมายในการโค่นอำนาจรัฐ และการบังคับใช้กฎหมายชารีอะห์ในโซมาเลีย โดยในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มนักรบที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มอัลชาบับ ยังได้ก่อเหตุโจมตีโดยพุ่งเป้าไปที่เป้าหมายในบริเวณพรมแดนโซมาเลียและเอธิโอเปีย ซึ่งสร้างความกังวลว่ากลุ่มอาจอยู่ระหว่างการวางแผนก่อเหตุครั้งใหม่.