เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครน ระบุ นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียกล่าวชี้แจงระหว่างการประชุมร่วมกับสภาสังคมและสิทธิมนุษยชนรัสเซียว่า ความขัดแย้งครั้งนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2557 และทำให้รัสเซียตัดสินใจแทรกแซงในเดือน ก.พ. เพื่อพิทักษ์สาธารณรัฐโดเนตสก์และลูฮานสก์ ซึ่งการที่รัสเซียจะบรรลุเป้าหมายได้ทั้งหมดนั้นอาจต้องใช้เวลานาน
นายปูตินกล่าวต่อไปว่า ดินแดนใหม่ของรัสเซียทั้งโดเนตสก์ ลูฮานสก์ ซาโปริชเชีย และเคียร์ซอน ถือเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญ พระเจ้าปีเตอร์มหาราชยังเคยพยายามเข้าถึงทะเลอาซอฟ ทางตะวันออกของคาบสมุทรไครเมีย แต่ตอนนี้ถือเป็นทะเลภายในดินแดนของรัสเซียแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือประชาชนในดินแดนเหล่านี้ได้แสดงเจตจำนงผ่านประชามติว่าต้องการอยู่กับรัสเซีย พวกเขานับล้านคนอยู่กับเรา นี่คือผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม
นอกจากนี้ นายปูตินยังกล่าวว่า สถานการณ์ในปัจจุบันไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องระดมกำลังสำรองเพิ่มเติม เพราะกำลังสำรองที่เพิ่มมากว่า 300,000 นาย ถือว่ามีประสิทธิภาพเพียงพอ แต่ยอมรับว่ามีความเสี่ยงในเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ ไม่ใช่เรื่องที่จะมาปกปิดกัน แต่ไม่ว่ายังไงรัสเซียจะไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน เราไม่ได้เสียสติ ทราบดีว่าอาวุธนิวเคลียร์เป็นเช่นไร ไม่ใช่ของที่จะเอามากวัดแกว่งเหมือนมีดโกน และรัสเซียไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ประจำการอยู่ในต่างแดนเหมือนสหรัฐฯที่นำนิวเคลียร์ไปเก็บไว้ในตุรกีและชาติยุโรปอื่นๆ
วันเดียวกัน บริษัทพลังงานอูคร์เอเนอร์โกของยูเครน เผยว่า กองทัพรัสเซียยิงจรวดและขีปนาวุธโจมตีเครือข่ายด้านพลังงานของยูเครนไปแล้วกว่า 1,000 ลูก และการยิงระลอกใหม่ที่ผ่านมาสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างจนจำเป็นต้องออกมาตรการฉุกเฉินเพื่อรับมือไฟดับทั่วประเทศ นายกเทศมนตรีกรุงเคียฟเตือนว่าจะเกิดมหันตภัยฤดูหนาวในไม่ช้า ขณะที่นายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน กล่าวยอมรับว่า การฟื้นฟูระบบไฟฟ้าให้กลับมา 100% เหมือนช่วงก่อนความขัดแย้งนั้นเป็นไปไม่ได้ เราต้องการเวลาและเป็นที่มาว่าทำไมรัฐบาลถึงต้องกำหนดเวลาการใช้ไฟฟ้าในเมืองและจังหวัดต่างๆ
ส่วนที่สหรัฐฯ คณะกรรมาธิการต่างประเทศโหวตคว่ำมติของพรรครีพับลิกันที่เรียกร้องให้ตรวจสอบการใช้งบประมาณช่วยเหลือยูเครนกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 3.7 ล้านล้านบาทอย่างละเอียดเพื่อแสดงความโปร่งใส ซึ่งพรรคเดโมแครตที่นำการโหวตคว่ำมติชี้แจงว่า หากมีการตรวจสอบในตอนนี้จะเป็นการส่งสัญญาณผิดๆแก่ยูเครน องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) และยุโรปว่าสหรัฐฯ เกิดความแตกแยก.