มติ 8 พรรคร่วมฯส่ง “พิธา” ลงชิงนายกฯรอบสอง “ทิม” ยันถ้าไม่ได้ก็พร้อมถอยให้ พท. ต่อสายถึงทุกพรรคพร้อม ส.ว. ยกเว้นพรรคลุง เตรียมแผนรับมือหากอีกขั้วดัน “ลุงป้อม” แข่ง “เสรีพิศุทธ์” รับต่อสายดึง ปชป.-ชทพ.ร่วมรัฐบาล สวด ก.ก.ไม่เอาก็โง่เต็มที “ภูมิธรรม” ซัด “พิธา” มัดมือชก อย่าใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน หวั่นซ้ำรอยงูเห่ากินกล้วย “เสี่ยนิด” ยกปากท้องประชาชนต้องมาก่อน พร้อมเดินตามมติ กก.บห.ดันชิงนายกฯ “ณัฐชา” โต้ พท.ทำประชาชนกังวล ลั่น สู้เต็มที่ไม่มีเหยาะแหยะ “ศิริกัญญา” ไม่ยอมเสียสัจจะ ม.112 แฉมีขู่ถึงขั้นเอาชีวิต ส.ว.ฝ่ายเสรี “ท็อป” ปูด “เสรีฯ” ทาบร่วมวง ก.ก. แต่ปฏิเสธไป กลุ่ม ส.ว.เผาหัวฟ้อง 2 ทนายดัง ชี้เป็นราคาแพงที่ต้องจ่าย พร้อมต้านชงชื่อ “พิธา” ซ้ำสอง บช.สอท.รับลูกล่าเกรียนคีย์บอร์ด ศาล รธน.นัดชี้คดี “ทิม” 19 ก.ค. เปิดเซฟ “ธรรมนัส” รวยพันล้าน “เรืองไกร” หาไม่เจอหุ้นสื่อ “ชาดา”
กระบวนการจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรคร่วมฝ่ายเสรีประชาธิปไตย ที่เป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น โดยเฉพาะความไม่ลงรอยของ 2 พรรค อย่างพรรคก้าวไกลและเพื่อไทย ที่ปรากฏให้เห็นเป็นระยะ โดยเฉพาะการผลักดันนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล ลงชิงนายกฯรอบ 2 ที่ยังคงงัดข้อกันหนัก
“ภูมิธรรม” ซัด “พิธา” มัดมือชก
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 17 ก.ค. ที่พรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ยืนยันจะต่อสู้ใน 2 สมรภูมิ คือการโหวตนายกรัฐมนตรี และการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ว่า ไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะการเปิดสมรภูมิใหม่ของพรรคก้าวไกลเป็นการเสนอประเด็นที่อยู่นอกเหนือเอ็มโอยูที่ 8 พรรคเซ็นร่วมกัน การบอกว่าจะต่อสู้จนกว่าจะไม่สามารถไปได้แล้ว แล้วจะมอบอำนาจให้พรรคอันดับ 2 การพูดเช่นนี้ฟังดูดี แต่ทั้ง 2 ประเด็นยากลำบาก และไม่มีกรอบเวลาชัดเจน การแก้ไขมาตรา 272 เราเคยพูดแล้วว่าเป็นได้เพียงสัญลักษณ์ ไม่ได้รับชัยชนะ การที่นายพิธาและพรรคก้าวไกลนำเสนอต่อสาธารณชนไม่ใช่วาระของทั้ง 2 พรรค เราตกลงกันว่าจะกลับไปคุยในพรรคตัวเอง แต่ที่นายพิธาออกมาพูดเช่นนี้ เหมือนมัดมือชกเรา จึงต้องออกมาพูดความจริงให้ทราบ
ใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน
นายภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่ใช่ความขัดแย้งหรือโกรธกัน เราเสนอความเห็นตรงไปตรงมาว่าวาระประเทศและวาระประชาชนคือสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ใช่วาระของพรรคก้าวไกล หรือวาระของนายพิธา วันนี้ภาคธุรกิจอยากได้รัฐบาลที่ชัดเจน ภาคการท่องเที่ยวอยู่ในฤดูกาลท่องเที่ยว เป็นโอกาสนำเงินเข้าประเทศ แต่ถ้ารัฐบาลไม่ชัดเจนจะมีปัญหา เขาถึงขั้นเสนอว่ารัฐบาลประกอบด้วยอะไรก็ได้ เพียงแต่ให้มีความชัดเจนเรื่องนโยบาย และมีอำนาจเต็ม วันนี้อยากให้เปิดใจให้กว้าง อย่าเอาประชาชนเป็นตัวประกัน วันนี้ประเทศชาติและปัญหาประชาชนอยู่ในมือพรรคก้าวไกลและนายพิธา ถ้าการตัดสินใจครั้งนี้ผิดพลาด ปัญหา คือประชาชนจะลำบาก ต้องอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯไปอีกนานและจะรักษาการไปเรื่อยๆ อยากให้นายพิธาและพรรคก้าวไกลนำไปคิด ขอให้เอาวาระประชาชนเป็นที่ตั้ง หาทางออกร่วมกันอย่างรวดเร็ว เราห่วงโรคแทรกซ้อน หากรัฐบาลเดิมจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยเราจะสู้เขาไม่ได้ เขามี 188 เสียง ส.ว.อีก 250 เสียง เราต้องอยู่กับลุงไปอีก 4 ปี ประชาชนยินดีเช่นนั้นหรือ
แบะท่าส่งแคนดิเดต พท.ลงชิง
เมื่อถามว่าคิดเรื่องการเปลี่ยนตัวแคนดิเดตนายกฯไว้บ้างหรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า เราไม่มีแผนสำรอง แต่ต้องมีคำตอบที่ชัดเจนไม่ใช่ปล่อยให้เลือกกันไปเรื่อยๆ โดยที่ประเทศไม่รู้ทางออก เรารอไปถึงต้นปีหน้าไม่ได้ ไม่ต้องห่วงหากวันไหนชัดเจนให้พรรคเพื่อไทยเสนอ เราสามารถเสนอได้ ถ้าไม่ได้จะมีวิธีไหนที่ 8 พรรคจะดำเนินการร่วมกันให้ชนะ เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง เรารู้อยู่แล้วว่าแคนดิเดตของเราเป็นอย่างไร ถ้าบอกว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้คิดเลยก็เท่ากับโกหก เราคิดทางออกแต่ยังพูดไม่ได้ มุ่งหน้าสนับสนุนขอความร่วมมือของ 8 พรรค จนถึงเวลาจำเป็นแล้วถึงจะเสนอ และชัดเจนจะไม่มีคนนอก ขอให้สบายใจว่าหากถึงเวลาต้องเสนอ พรรคเพื่อไทยมีคนเข้าไปทำงานแน่นอน ขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับแคนดิเดตทั้ง 3 คน เรามุ่งหน้าทำเรื่องการเสนอนายพิธาเป็นเรื่องหลัก
เช็กข่าวมี ส.ส.พท.-ก.ก.คุยขั้ว รบ.เดิม
นายภูมิธรรมกล่าวอีกว่า สิ่งที่พูดไปอาจมีรถทัวร์ลง แต่คิดว่าเรายืนอยู่บนความเป็นจริง และอยากให้ความเป็นจริงประสบความสำเร็จ เราไม่อยากเห็นความเชื่อทำให้เกิดความจริง เราอยากเห็นความจริงเอามาคลี่คลายและทำให้ความเชื่อประสบความสำเร็จ เมื่อถามถึงกระแสข่าว ส.ส.พรรคเพื่อไทยและก้าวไกล ไปพูดคุยกับขั้วรัฐบาลเดิม นายภูมิธรรมตอบว่า วันนี้มีข่าวลือมาก เราได้ยินข่าวดังกล่าวแต่เมื่อเป็นข่าวลือ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ สิ่งสำคัญคือกลับไปตรวจสอบคนของตัวเอง เพราะประวัติศาสตร์การเมืองไทยเรื่องการแจกกล้วย เรื่องงูเห่าเคยเกิดมาแล้ว เราเสนอให้เกิดการระมัดระวัง เราต้องให้เกียรติ ส.ส.ทั้ง 2 พรรค ให้แกนนำแต่ละส่วนไปพูดคุยกับ ส.ส. ป้องกันไม่ให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น
“เสี่ยนิด” ยกปากท้องต้องมาก่อน
นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ต้องรอการพูดคุยระหว่าง 2 พรรค มองว่าปัญหาปากท้อง ปัญหาเศษฐกิจประชาชนเป็นเรื่องใหญ่มาก สถานการณ์ก็บีบบังคับให้จัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุด เมื่อถามว่าพร้อมหรือไม่ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ หากนายพิธาไม่ผ่านการโหวตรอบ 2 นายเศรษฐาตอบว่า ถ้าไม่พร้อมคงไม่มีรายชื่อเป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกฯ ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำหรือพรรคร่วมรัฐบาล ตนได้รับมอบหมายให้มาดูแลเรื่องเศรษฐกิจ เมื่อถามว่าหากสูตรจัดตั้งรัฐบาลไม่มีพรรคก้าวไกลพร้อมเป็นนายกฯหรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า ยังไม่ทราบ ยังไม่ได้พูดคุยกัน ต้องให้เกียรติกรรมการบริหารพรรค ไม่ก้าวล่วง
พร้อมเดินตามมติ กก.บห.
เมื่อถามว่าหากสมการตั้งรัฐบาลมีพรรคอื่นเข้ามานอกเหนือจาก 8 พรรคร่วม เช่น พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมจะรับเป็นนายกฯหรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า เรื่องนี้ยังเร็วเกินไป วันนี้เป็นเรื่องของ 8 พรรคร่วมก่อน เราอย่าไปคุยถึงเงื่อนไข เราไม่มีเงื่อนไขอะไรทั้งสิ้น หน้าที่นักการเมืองคือการดูแลประชาชน ไม่ใช่มาเล่นการเมือง เมื่อถามย้ำว่าหาก กก.บห.มีแนวทางเช่นใดพร้อมทำตามมติใช่หรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า “ผมเล่นกีฬาเป็นทีมอยู่แล้ว ผมเป็นประชาธิปไตย หากคณะกรรมการมีมติอย่างไร ผมพร้อมน้อมรับ และไม่อยากไปพูดกดดันอะไรทั้งสิ้น เป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคที่มีอิสระตัดสิน” เมื่อถามอีกว่าแม้จะถูกมองว่ามีการข้ามขั้วก็ตาม นายเศรษฐาตอบว่า อย่าเพิ่งข้ามไป วันนี้ขอคุย 8 พรรคร่วมให้รู้เรื่องก่อนดีกว่า ยังมีอีกหลายเรื่องที่เป็นการเล่นเรื่องการเมือง และก็เล่นการเมืองกันมาเยอะแล้ว
สุดเซ็งทำอะไรก็โดนทัวร์ลง
เมื่อถามว่าไม่ว่าพรรคเพื่อไทยแสดงความเห็นอะไรมีทัวร์ลงตลอด นายเศรษฐาตอบว่า “ผมก็คงพูดสั้นๆ ว่าครับ ก็ต้องรับครับ คำว่าครับไม่ได้หมายความว่า รับหรือไม่รับ แต่หมายความว่ารับทราบกับเสียงที่ตอบมาว่าจะอยู่หรือไม่อยู่ด้วยกันกับ 8 พรรค ถ้าเกิดจะไปกับพรรคก้าวไกลเราเองก็พร้อมที่จะเสนอนโยบายและประชุม ครม.นัดแรก หรือถ้าเป็นเรื่องอื่นเราก็พร้อมหมด”
ก.ก.โต้ พท.ทำประชาชนกังวล
ที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการซื้อ ส.ส.พรรค ก.ก.และพรรค พท. ร่วม 50 คน เตรียมโหวตให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยที่เสนอ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพปชร. เป็นนายกฯว่า ยืนยันว่า ส.ส.พรรค ก.ก.อยู่ครบ ไม่มีใครถูกซื้อ ครั้งที่แล้วประชาชนลงโทษ ส.ส.งูเห่าทุกคนสอบตกหมด เห็นตัวอย่างกันดีอยู่แล้วว่าการทรยศต่อประชาชนผลออกมาเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องการเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตรแข่ง ขอพรรค พท.อย่ากังวล ประชาชนจะกังวลไปด้วย เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ด้วยเหตุผล 3 ข้อ ข้อแรก ภายใน ส.ว.เองก็ไม่ได้มีเอกภาพ แม้ส่วนใหญ่จะไม่โหวตให้พิธา แต่ไม่ได้หมายความทุกคนจะโหวตให้ พล.อ.ประวิตร ข้อสอง พรรคฝั่งรัฐบาลเดิมก็ไม่ได้เป็นเอกภาพว่าใครจะเป็นนายกฯ ถ้ามีการเสนอแข่งยังแย่งชิงกันอยู่ และข้อสาม สำคัญที่สุด แม้ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้ แต่บริหารไม่ได้ ดังนั้น ถ้า 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลในปัจจุบันยังจับมือกันเหนียวแน่น แผนนี้ไม่มีวันสำเร็จ
สู้เต็มที่ไม่มีเหยาะๆแหยะๆ
นายณัฐชากล่าวถึงกรณีที่มีการระบุว่า พรรค ก.ก.สนใจแต่วาระทางการเมือง ไม่สนใจวาระประชาชนว่า พรรค ก.ก.ออกโรดแม็ปมาให้ประชาชนเห็นชัดๆแล้วว่าเรามีแผนการอย่างไร จะสู้ใน 2 สมรภูมิ มีกรอบเวลาชัดเจนทั้ง 2 สมรภูมิ สมรภูมิโหวตนายกฯ ถ้าวันที่ 19 ก.ค. คะแนนโหวตนายกฯรอบ 2 ยังห่างจาก 376 ก็เป็นอันจบ รอสมรภูมิต่อไปคือการยกเลิกมาตรา 272 ที่ต้องเข้าสภาฯภายใน 15 วันหลังยื่นร่าง คือภายใน 29 ก.ค. ถ้าผลออกมาคือร่างตกก็จบเช่นกัน เรายอมถอยให้ พท.ตั้งรัฐบาล นายพิธาประกาศไปแล้ว “ส่วนการบอกว่ามัวแต่สู้เชิงสัญลักษณ์ทั้งที่รู้ว่าแพ้ เรื่องนี้พรรค ก.ก.ยืนยันว่าเรามีภารกิจต้องรับผิดชอบต่อประชาชนในฐานะพรรคอันดับหนึ่ง ถ้าสู้เหยาะๆแหยะๆก็เท่ากับบอกประชาชนว่าเรายอมรับกฎที่อยุติธรรม และความผิดปกติในประเทศนี้ เราเป็นพรรคการเมือง เป็นผู้แทนราษฎร ต้องพิทักษ์เสียงประชาชนอย่างดีที่สุด ไม่ใช่ปล่อยให้เขาเอาไปทิ้งน้ำ ต้องสู้ถึงที่สุดก่อน เพื่อให้สมกับความไว้วางใจที่ประชาชนมอบให้”
“ศิริกัญญา” ไม่สนดึง ชทพ.ร่วม
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ก.ก. ให้สัมภาษณ์ถึงการเสนอชื่อนายพิธาชิงตำแหน่งนายกฯครั้งที่ 2 ว่า ถ้าประชาชนยังไม่ถอยเราก็ไม่ถอย คิดว่าการเสนอชื่อนายพิธาอีกรอบ ตามสมรภูมิที่หนึ่ง น่าจะเป็นไปอย่างที่เราแจ้งกับประชาชนไว้ เมื่อถามถึงกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ระบุว่า ได้รับการประสานจากพรรค ก.ก.ให้เจรจาดึงพรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมตั้งรัฐบาล น.ส.ศิริกัญญาตอบว่า ไม่ทราบเรื่องว่าใครเป็นคนไปขอให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ไป แต่ถ้าพรรค ชทพ.และ ปชป.มาร่วมก็คงเป็นผลดีในการช่วยเติมเสียงให้เราได้ถึง 376 เสียงได้ง่ายขึ้น แต่ถ้ายังตั้งเงื่อนไขเรื่อง 112 ก็คงไม่ได้เข้ามาร่วมรัฐบาลที่พรรค ก.ก.เป็นแกนนำ
ตอก พท.ไม่เคยคิดมัดมือชก
น.ส.ศิริกัญญายังกล่าวถึงการขอเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.ว่า รอบนี้คิดว่าจากที่เราทำงานกันมาน่าจะได้คะแนนเสียงเพิ่มเติมจากคนที่ยังไม่ได้มาในรอบที่แล้ว ถ้าการดำเนินการของเราทั้ง 2 สมรภูมิยังไม่เป็นผล ยังไม่ชนะ จะเปิดทางให้พรรค พท.เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เมื่อถามถึงกรณีที่พรรค พท.มีท่าทีไม่พอใจการเสนอมาตรา 272 ระบุว่า เป็นการมัดมือชก น.ส.ศิริกัญญาตอบว่า คงเป็นหนึ่งในประเด็นที่ต้องพูดคุยทำความเข้าใจกันว่ามาตรา 272 มันไม่ได้เป็นการมัดมือชกอะไร คาดว่าทราบผลภายในอาทิตย์หน้า เมื่อถามว่าทำไมจึงคิดว่ามาตรา 272 เป็นทางออก น.ส.ศิริกัญญาตอบว่า เราเห็นใจ ส.ว.หลายท่าน เราทราบดีกว่ามันมีกระบวนการที่พยายามไม่ให้เขาโหวตสนับสนุนนายพิธามาก ถึงขั้นข่มขู่เอาชีวิตเป็นต้น เราเห็นใจและคิดว่าทางออกนี้น่าจะเป็นทางออกที่หลายฝ่ายสบายใจ รวมทั้ง ส.ว.ด้วยที่อยากจะปิดสวิตช์ตัวเอง ถือเป็นทางออกให้กับ ส.ว.ด้วย
ไม่ยอมเสียสัจจะถอย ม.112
เมื่อถามว่าทำไมไม่ยอมถอยเรื่องมาตรา 112 แทนการเดินหน้าแก้ไขมาตรา 272 น.ส.ศิริกัญญาตอบว่า มันเป็นสิ่งที่เราทำสัญญาไว้กับประชาชน ผ่านการหาเสียงเลือกตั้ง เอาเข้าจริงแล้ว ม.112 เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นที่จะไม่โหวตให้กับเรา อาจเป็นเรื่องอื่นมากกว่า เลยคิดว่าถึงเราจะยอมถอยแล้วก็เสียสัจจะสัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชนก็ไม่ได้ทำให้ทางโน้นที่ใช้ 112 มาเป็นข้ออ้างจะเปลี่ยนใจแน่นอน เราเลยเลือกที่จะไม่เสียสัจจะกับประชาชน เมื่อถามว่าหากยืดเวลาออกไป พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ จะอยู่ยาว น.ส.ศิริกัญญาตอบว่า ไม่ถึงขั้นนั้น อย่างมากแค่ 3 สัปดาห์ คิดว่ายังอยู่ในวิสัยที่เราสามารถจัดการได้ ไม่ถือว่าเป็นการใช้เวลามากเกินไป ทั้งนี้ นิด้าโพลก็ได้ออกมาบอกอย่างชัดเจนว่าอยากให้โหวตนายพิธาไปเรื่อยๆด้วยซ้ำ
“พิธา” ต่อสายขอเสียงขั้วเดิม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการประชุม 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลหารือแนวทางการโหวตเลือกนายกฯครั้งที่ 2 ในวันที่ 19 ก.ค. จะเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล ลงรอบ 2 หรือไม่นั้น ปรากฏว่า ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา มีแกนนำใน 8 พรรคร่วม อาทิ นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล รวมถึงตัวนายพิธาเองได้พยายามโทรศัพท์สายตรงหาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลชุดปัจจุบันเพื่อขอเสียงสนับสนุนในการโหวตนายกฯรอบสอง และโทรศัพท์สายตรงหา ส.ส.หลายคนในพรรคร่วมรัฐบาลเดิม และ ส.ว.ที่ลงมติงดออกเสียงและลงมติไม่เห็นชอบ เพื่อโน้มน้าวให้เปลี่ยนใจมาสนับสนุน เป็นการพูดคุยในท่าทีที่อ่อนน้อมเป็นกันเอง แต่ยังไม่มีใครตอบรับ ขณะที่ปลายสายบางคนยังรู้สึกแปลกใจในท่าทีที่นายพิธาโทรศัพท์มาหา
“ฐากร” หนุนแนวทาง 8 พรรค
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) กล่าวถึงจุดยืนของพรรค ทสท.ว่า ยืนยันจุดยืนเดิมอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยและอยู่กับ 8 พรรคร่วมต่อไป ผลการหารือ 8 พรรคร่วมมีมติอย่างไร พร้อมทำตามมติ หากยังคงเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯครั้งที่ 2 พรรค ทสท.ก็พร้อมยกมือสนับสนุน เราพร้อมจ่ายบอลส่งนายพิธาเข้าไปยิงประตูอีกครั้ง แต่หากผลการหารือของ 8 พรรคร่วมเปลี่ยนแปลงเป็นแนวทางอื่น พรรคก็พร้อมสนับสนุนมติของ 8 พรรคร่วมเช่นเดิม รวมไปถึงประเด็นที่พรรคก้าวไกลยื่นเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญบทเฉพาะกาลมาตรา 272 เพื่อตัดอำนาจ ส.ว.นั้น พรรคไทยสร้างไทยพร้อมสนับสนุนเช่นกัน เนื่องจากจะทำให้เกิดความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น
ก.ก.-พท.ถกกันก่อนคุยวงใหญ่
จากนั้นช่วงบ่ายที่อาคารไทยซัมมิท แกนนำพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยนัดหารือ 2 พรรค ก่อนการหารือ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลในช่วงเย็น เพื่อกำหนดทิศทางการโหวตนายกรัฐมนตรีรอบที่ 2 ในวันที่ 19 ก.ค.นี้ โดยมีแกนนำ 2 พรรค ทยอยเดินทางเข้ามา อาทิ นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค ก.ก. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ก.ก. ส่วนพรรค พท. มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำพรรค ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนที่ต่างทยอยเดินทางมาติดตามความเคลื่อนไหวเป็นจำนวนมาก จนเวลา 16.50 น. แกนนำ 8 พรรคร่วมที่เหลือจึงทยอยตามมาสมทบ
มติ 8 พรรคเข็น “พิธา” ลุยต่อ
กระทั่งเวลา 18.30 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกฯพรรคก้าวไกล แถลงหลังการหารือว่า ผลการหารือ 8 พรรค มีข้อสรุปคือ 8 พรรคร่วมฯมีมติส่งตนเป็นแคนดินเดตนายกฯ ส่วนการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 เป็นสิ่งที่พรรค ก.ก.เสนอเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับอีก 7 พรรค เรื่องสุดท้ายคือข้อบังคับที่ 41 ของรัฐสภา เราคุยกันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับบังคับฯแต่อย่างใด ไม่ถือว่าเป็นญัตติเป็นการเสนอผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯ มองเห็นต่างกับทาง ส.ว. เมื่อถามว่าตั้งหลักอย่างไร หากเสียงวันที่ 19 ก.ค.ไม่พอ นายพิธาตอบว่า ตามที่เคยแถลงไปหากคะแนนไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมจะถอยให้ประเทศชาติ และพรรคอันดับ 2 ที่อยู่ในเอ็มโอยูเดิมคือพรรค พท. ส่วนเรื่องมาตรา 272 ยืนยันว่าเป็นการดำเนินการพรรคเดียวไม่ได้ผูกพันกับพรรคอื่น
สัมพันธ์ 8 พรรคเป็นไปด้วยดี
เมื่อถามว่ามีการหารือถึงการเตรียมชื่อสำรองไว้หรือไม่ กรณีไม่สามารถเสนอชื่อนายพิธาได้ในวันนั้น นายพิธาตอบว่า ยังไม่มี ยังเป็นชื่อตนคนเดียวอยู่ เมื่อถามอีกว่ายังยืนยันจะจับมือกัน 8 พรรคเดินหน้าต่อ นายพิธาพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า ถึงได้มีมติออกมาแถลงในวันนี้ ความสัมพันธ์ของ 8 พรรคร่วมยังเป็นไปด้วยดี มีความพยายามจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนให้ได้ มีมติส่งตนอีก 1 ครั้ง พยายามใช้เวลาที่เหลืออย่างเต็มที่
ต่อสายทุกพรรคยกเว้นขั้ว “ลุง”
เมื่อถามว่ามีการขอเสียงจาก ปชป.และ ชทพ.ด้วย นายพิธาตอบว่า อันนี้ยังไม่ได้เป็นมติของ 8 พรรค เมื่อถามถึงข่าวต่อสายไปคุยกลุ่มแกนนำขั้วรัฐบาลเดิม นายพิธาตอบว่า มันเป็นเรื่องปกติ ปกติจะหารือเกี่ยวกับประเด็นการเมือง กับเพื่อนๆที่เป็น ส.ส. และ ส.ว.ที่เจอกันในสภาฯ หรือเวลาอยากจะเช็กข้อมูลอะไรก็มีโอกาสพูดคุยกัน แต่ไม่ได้เชิญเข้าร่วมรัฐบาล มีการพูดคุยเกือบทุกพรรค ยกเว้นพรรคลุง เรียกว่ามีโอกาสถามและพูดคุย เป็นการแลกเปลี่ยนทางการเมือง เมื่อถามว่าไม่ได้เป็นการโทร.ไปขอเสียงใช่หรือไม่ นายพิธาตอบว่า ไม่ใช่ โทร.ไปแลก เปลี่ยนทางการเมืองเฉยๆ เป็นเรื่องปกติ
เตรียมเเผนรับมือ “ป้อม” ลงเเข่ง
เมื่อถามว่าการโหวตรอบ 2 มองเรื่องการเสนอชื่อแข่งหรือไม่ นายพิธาตอบว่า เท่าที่ฟังสัมภาษณ์ 10 พรรค ทุกคนพูดว่าเรื่องรัฐบาลเสียงข้างน้อยเป็นไปไม่ได้ จึงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อถามว่ายังไม่มีการยืนยันจากพรรคของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่อาจรวมเสียงได้ นายพิธาตอบว่า ต้องฝากนักข่าวไปถามเพื่อความชัวร์ แต่เราเตรียมพร้อมรับมือ ส่วนเรื่องมาตรา 112 สำคัญที่สุดตนต้องการรักษาคำพูด ก่อนหาเสียงพูดไว้อย่างไร หลังหาเสียงก็ไม่ใช่ว่าต้องการที่จะเข้าสู่อำนาจในทุกวิถีทาง เมื่อถามว่าคะแนนที่จะได้เพิ่มมาในรอบ 2 ตามที่บอกจะเป็นเสียงจาก ส.ส.หรือ ส.ว. นายพิธาตอบว่า ต้องรอดู ยันยังสู้อยู่ ส่วนกรณีศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคดีหุ้น วันที่ 19 ก.ค.ด้วยนั้น ผลจะออกมาอย่างไรก็แล้วแต่ ไม่ได้ทำให้ความเป็นแคนดิเดตนายกฯ หายไป ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล
พท.รอคุย ส.ว.ในวงวิป 3 ฝ่าย
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อที่ 41 ว่า การตีความเรื่องญัตติเป็นไปตามข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญ วันที่ 18 ก.ค. จะมีการประชุมวิป 3 ฝ่าย คงได้คุยกันว่าทาง ส.ว.จะว่าอย่างไร พรรคก้าวไกลไม่มีปัญหาอะไรให้เป็นไปตามกระบวนการ อีกเรื่องคือการโหวตนายพิธา ต้องดูว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ส่วนประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 เป็นสิทธิของพรรคก้าวไกลที่จะเสนอ พรรคอื่นเป็นอิสระตามนโยบายของเขา เมื่อถามว่า 8 พรรคมีความเป็นห่วงเรื่องเสียง ส.ว.หรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า เราให้โอกาสเขาทำงานต่อก่อนถึงวันโหวตขอให้ทำให้เต็มที่ ถ้าไปไหวก็ไปต่อ ถ้าไม่ไหวก็มาเปลี่ยนแปลงว่าที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร เมื่อถามว่าในที่ประชุมได้ขอให้เพื่อไทยหาเสียง ส.ว.ด้วยหรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า ทุกพรรคก็ช่วยกันหาเสียงทำความเข้าใจ
หากไปต่อไม่ได้มาเริ่มกันใหม่
เมื่อถามอีกว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ประชุมรัฐสภาจะมีเสียงเพิ่มอีก 16% นายภูมิธรรมตอบว่า ต้องใช้ความพยายามของทุกฝ่ายในการทำความเข้าใจ ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อถามว่ามีการเตรียมแผนสำรองหรือไม่หากญัตติของนายพิธาถูกตีตก นายภูมิธรรมตอบว่า ยังไม่มี แต่หากไปต่อไม่ได้ก็ต้องมาเริ่มคิดกันใหม่ ยังมีเวลาอยู่ คิดว่าหากดำเนินการแล้วเป็นไปไม่ได้ก็ต้องดูเวลา และดูว่าจะมีการถกเถียงกันมากน้อยแค่ไหน ทั้งหมดคงจบในวาระวันนั้นในเรื่องเดียว และถ้ามีโอกาสก็คงได้ดำเนินการต่อหลังจากนั้น
ลุ้น ปชป.-ชทพ.ตอบรับร่วมวง
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวถึงกระแสข่าวมีการเชิญพรรคประชาธิปัตย์และพรรคชาติไทยพัฒนามาร่วมรัฐบาลว่า อยู่ระหว่างการตัดสินใจของเขา ยืนยันว่าหากจะมาต้องมากันทั้งพรรค เมื่อถามว่าได้เชิญพรรคไหนไปบ้าง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ตอบว่า ทั้ง 2 พรรค และมีการนำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการบริหารพรรคแล้ว เขาไม่สามารถตัดสินใจได้เหมือนพรรคเสรีรวมไทย แต่ละพรรคมีเงื่อนไขอะไรบ้างก็เป็นเรื่องของเขา เมื่อถามว่าไปให้เขามาช่วยสนับสนุนเฉยๆไม่เข้าร่วมรัฐบาลใช่หรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ตอบว่า “โอ๊ย…มาถึงตอนนี้เขาก็ต้องเอาแต่ประโยชน์แล้ว มีใครเขาจะมาช่วยเฉยๆ” เมื่อถามว่าพรรคที่ติดต่อไปจะให้คำตอบวันไหน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ตอบว่า ก่อนวันโหวตนายกฯวันที่ 19 ก.ค. เมื่อถามว่าพรรคก้าวไกลเอาด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ตอบว่า “เขาจะไม่เอาได้ยังไง ถ้าไม่เอาก็โง่เต็มทีแล้ว” แต่ในที่ประชุม 8 พรรคไม่ได้มีการพูดคุยกันเรื่องนี้
“ท็อป” ปูด “เสรีฯ” ทาบร่วม รบ.
ขณะที่นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวว่า เรียกประชุมพรรคช่วงเช้าวันที่ 19 ก.ค. เพื่อหารือแนวทางการลงมติเลือกนายกฯรอบสอง ยังสงสัยว่าจะเสนอญัตติซ้ำได้หรือไม่ ตามข้อบังคับการประชุมสภาฯไม่น่าเสนอญัตติเดิมได้อีก เมื่อถามว่าแสดงว่า ชทพ.มีแนวโน้มที่จะงดออกเสียงอีกใช่หรือไม่ นายวราวุธตอบว่า ต้องดูก่อน แต่อาจไม่งดออกเสียงแล้ว เพราะถ้าขัดกับแนวทางการทำงานของสภา เราไม่เห็นด้วยที่จะเสนอซ้ำอีก เมื่อถามว่าช่วงนี้แกนนำพรรคก้าวไกล และ 8 พรรคร่วมพยายามพูดคุยให้พรรค การเมืองอื่นหรือ ส.ว.ที่งดออกเสียง เปลี่ยนใจมาสนับสนุน นายวราวุธตอบว่า เป็นไปตามข่าว ช่วงสายวันที่ 16 ก.ค. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย โทรศัพท์มาหาตนบอกว่ามีการส่งเทียบเชิญจากพรรคก้าวไกล อยากขอให้พิจารณาการเข้าร่วมรัฐบาล แต่ยืนยันไปว่าแนวทาง ชทพ.คือไม่แตะต้องเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 และเชิดชู เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
ปฏิเสธไปแล้วไม่ขอร่วมวง ก.ก.
เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าถ้าพรรคก้าวไกลยังไม่ถอยเรื่องมาตรา 112 ก็ไม่สามารถร่วมงานกันได้ นายวราวุธตอบว่า จะว่าอย่างนั้นก็ถูก หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วทำไมตอนแรกถึงงดออกเสียง การงดออกเสียงไม่ได้แปลว่าไม่มีความเห็น แต่เราให้เกียรติคนที่เลือกพรรคก้าวไกลเข้ามา และเราให้เกียรติพี่น้องประชาชนที่เลือกทั้งพรรคเล็กและพรรคใหญ่ แต่ถ้าจะดำเนินการอะไรที่ไม่ตรงแนวทางปฏิบัติ กฎ ระเบียบ ข้อบังคับรัฐสภา นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และมีสิทธิจะโหวตสวนไปเลย ส่วนการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ของพรรคก้าวไกล อีกไม่นานอำนาจ ส.ว.ที่จะโหวตเลือกนายกฯต้องหมดลงไป การแก้รัฐธรรมนูญในช่วงนี้เป็นการสร้างเงื่อนไขใหม่ให้เกิดความซับซ้อน และกินเวลาในการโหวตเลือกนายกฯ ถ้าจะแก้ไขแค่มาตรา 272 มายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับดีกว่า
“อนุชา” ชี้ไปยากรัฐบาลข้างน้อย
นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายก รัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกระแสข่าวตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยว่า ไม่มีทางเป็นไปได้เรื่องนายกฯเสียงข้างน้อย ส่วนแนวทางการโหวตนายกฯวันที่ 19 ก.ค. ต้องขอดูก่อนว่าจะมีการเสนอใครอย่างไร อำนาจตัดสินอยู่ที่สภา หากพรรคก้าวไกลยังย้ำจุดยืนแก้มาตรา 112 บอกเลยว่ายากมาก ส่วนที่พรรคก้าวไกลยื่นแก้มาตรา 272 เพื่อตัดอำนาจ ส.ว.โหวตนายกฯ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ในอดีตก็เห็นอยู่ และทราบว่าพรรคเพื่อไทยไม่รู้มาก่อนว่าจะเดินเกมนี้
“แด็ก” เย้ย “พิธา” หลอกตัวเอง
นายธนกร วังบุญคงชนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรครทสช. กล่าวว่าการเสนอชื่อนายกฯควรเสนอแค่ครั้งเดียว การเสนอไปเรื่อยๆทำให้เสียเวลาสภา คิดว่า ส.ส.ทุกพรรค ไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านทราบข้อมูลในเชิงลึกอยู่แล้ว ถ้ายังมีพรรคก้าวไกลร่วมอยู่ในรัฐบาล ส.ว.ไม่โหวตให้อยู่แล้ว และควรเลิกอ้าง 14 ล้านเสียงได้แล้ว เมื่อพรรคก้าวไกลไม่ถอยฝั่งอื่นก็คงไม่ถอยเช่นกัน เราอย่าหลอกตัวเองดีกว่า ถ้าไม่ได้ก็ไปเป็นฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลได้ดี อย่าไปปลุกกระแสมวลชนลงถนน ไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นจะตาย เป็นฝ่ายค้านไม่เห็นเป็นอะไรเลย ถ้าพรรคอันดับ 1 และ 2 ไม่ได้ ก็เป็นความชอบธรรมพรรคอันดับ 3 คือพรรคภูมิใจไทย คิดว่าทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกฯพรรค พปชร. และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าและแคนดิเดตนายกฯ พรรคภูมิใจไทย ก็เป็นนายกฯได้ เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่พรรคก้าวไกลจะเป็นฝ่ายค้านพรรคเดียว นายธนกรตอบว่า เป็นไปได้หมด เรารู้อยู่แล้วว่าเงื่อนไขอยู่ตรงไหน เมื่อถามว่า รทสช.ร่วมกับเพื่อไทยได้หรือไม่ นายธนกรตอบว่า ต้องคุยกันในพรรค
“พรเพชร” ขอตำรวจคุ้มกัน ส.ว.
ที่รัฐสภาเมื่อเวลา 09.50 น. มีการประชุมวุฒิสภา มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ทั้งนี้นายพรเพชรแจ้งต่อที่ประชุมถึงกรณี ส.ว.ลาประชุมเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ว่าแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1.ลาไปราชการต่างประเทศ ตนมอบหมายให้ ส.ว. 2 คน ไปร่วมประชุมไอป้า ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน 2. ส.ว.ที่เป็นผู้นำเหล่าทัพ 6 คน ลากิจเพราะติดราชการสำคัญ ยังมี ส.ว.อื่นลากิจอีก 9 คนที่ไม่ทราบวันประชุมและอยู่ต่างประเทศ และมี ส.ว.แจ้งลาป่วย 16 คน ทำให้วันดังกล่าวมี ส.ว.ลาทั้งสิ้น 33 คน ส่วนที่พบว่ามี ส.ว.ไม่ร่วมลงมติ 43 คน แสดงว่ามี 10 คนที่เข้าร่วมประชุม แต่ไม่ได้ลงมติ ทั้งนี้ได้รับแจ้งจากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา และ ส.ว.ว่าถูกคุกคามและละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคลในครอบครัว จึงขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปดูแล ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ
กำชับงดตอบโต้ปมปิดสวิตช์
นายพรเพชรกล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 พิจารณาและเห็นว่า ส.ว.ไม่สมควรแสดงความเห็นโต้ตอบ เมื่อเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา จึงจะพิจารณาอย่างผู้ที่ทำหน้าที่มีวุฒิภาวะ กลั่นกรองกฎหมายที่นำเสนอ เราไม่ควรโต้แย้งหรือโต้ตอบต่อผู้ที่อยู่ในภาวะไม่พอใจจากเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นแล้วจึงเสนอแก้ไข เมื่อเสนอกฎหมายนี้ ควรพิจารณารอบคอบเพื่อให้การแก้ไขกฎหมายนี้เป็นไปด้วยความถูกต้องตามหลักการ
ส.ว.เผาหัวฟ้องสองทนายดัง
ต่อมาเวลา 11.00 น. กลุ่ม ส.ว. อาทิ นายสมชาย แสวงการ นายเสรี สุวรรณภานนท์ นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ นายออน กาจกระโทก นายจเด็จ อินสว่าง น.ส.ปิยฉัฏฐ์ วันเฉลิม นายวิวรรธน์ แสงสุริยะฉัตร ร่วมแถลงกรณียื่นเรื่องฟ้องคดีอาญาและคดีแพ่งกับบุคคลที่โพสต์ข้อความหมิ่นประมาท กระทบต่อธุรกิจครอบครัว และเครือญาติ ส.ว.จนได้รับความเสียหาย นายเสรีกล่าวว่า ส.ว.ไม่ทนพฤติกรรมเลวร้ายทำลายสังคม มี ส.ว. ส.ส.ถูกข่มขู่คุกคาม กระทบสิทธิส่วนบุคคล คนในครอบครัวได้รับผลกระทบ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 17 ก.ค. ได้ให้ทนายยื่นฟ้องนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ และนายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ ฟ้องเรียกค่าเสียหายรายละ 5 แสนบาท ต่อไปจะดำเนินคดีคนที่กล่าวให้ร้ายผ่านทางโซเชียลทุกคน ทั้งผิดอาญาและแพ่ง ส่วนการโจมตีตนเรื่องตลาดเสรี มองว่าคนพวกนี้โง่ฉลาดน้อย แม่ค้าในตลาดเป็นคนเลือกพรรคก้าวไกล หรือกรณีนายวิวรรธน์ ทายาทหมอเส็งที่ถูกโจมตี คนงานเกินครึ่งเลือกพรรคก้าวไกล เอาเรื่องการเมืองไปกระทบชีวิตประชาชน
บอกเป็นราคาแพงที่ต้องจ่าย
นายสมชาย แสวงการ ส.ว. กล่าวว่า ส.ว.ส่วนใหญ่รวบรวมหลักฐานฟ้องร้องบุคคลที่ใส่ร้ายให้เกิดความเสียหาย ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมและเตรียมฟ้องร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การคุกคามที่เกิดขึ้น มีลูก ส.ว.บางคน ได้รับข้อความข่มขู่จะข่มขืนทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นเรื่องเลวร้ายมาก ยังพบการใช้ AI เผยแพร่ข้อความจำนวนมากหลังการโหวตวันที่ 13 ก.ค. เป็นกลไกบางพรรคที่มุ่งโจมตี ยืนยันว่าคนที่ทำแบบนั้น 100% ต้องโดนทุกคน ไม่ต้องมาขอขมา เป็นราคาแพงที่ต้องจ่าย ในฐานะคุกคามสร้างภัยให้คนอื่น
นายวิวรรธน์ แสงสุริยะฉัตร ส.ว. กล่าวว่า ธุรกิจยาสมุนไพรหมอเส็งเป็นของบิดา แม้ตนจะไม่ได้เกี่ยวข้องเพราะเป็นทนายความ แต่บอกผู้ดูแลธุรกิจให้แคปข้อความสร้างความเสียหาย จะฟ้องร้องทั้งคดีอาญาและแพ่ง ตระกูลตนเป็นคนจีนโพ้นทะเล เป็นคนต่างด้าวเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ด้วยพระบารมีสถาบันเป็นสิ่งที่ตนเทิดทูน จะไม่ยอมให้พรรคใดทำร้ายสถาบัน ไม่กลัวทัวร์ลง เพราะรักสถาบัน ใครจะทำลายต้องฆ่าตนก่อน
ห้ามชงชื่อ “พิธา” รอบ 2 ทุกกรณี
นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. ให้สัมภาษณ์ว่า ยืนยันการเสนอชื่อนายพิธาโหวตเป็นนายกฯ รอบสองทำไม่ได้ วันที่ 19 ก.ค.เชื่อว่าจะมีการหยิบยกประเด็นข้อบังคับที่ 41 มาหารือหากมีการเสนอชื่อนายพิธาอีก ส่วนจะนำไปสู่การลงมติเพื่อชี้ขาดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับที่ประชุมและเสียงข้างมากของที่ประชุม บัญชีที่ถูกตีตกไปแล้วไม่สามารถเสนอใหม่ได้อีก หากมีความพยายามเสนออีก อาจเปิดช่องให้ถูกยื่นศาลรัฐธรรมนูญได้
นายสมชาย แสวงการ ส.ว. กล่าวว่า นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา นัดหารือวิป 3 ฝ่าย วันที่ 18 ก.ค. มีประเด็นที่ ส.ว.จะสะท้อนคือเรื่องข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 41 ส.ว.กังวลว่าหากชื่อนายพิธาถูกเสนอกลับมาให้รัฐสภาพิจารณาอีกครั้ง อาจมีปัญหาข้อกฎหมาย หากนายวันมูหะมัดนอร์ ยอมให้เสนอชื่อนายพิธาอีกครั้ง ต้องเว้นการบังคับใช้ข้อบังคับ ต้องอาศัยเสียงข้างมาก ความรับผิดชอบสูงสุดจะตกอยู่ที่ประธานรัฐสภา
กร้าวต้องไม่มี ก.ก.ทุกสมการ
นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ส.ว. กล่าวว่า หากมีการเสนอให้โหวตนายพิธาเป็นนายกฯรอบสอง คงมีการประท้วงกันพอสมควร เมื่อถามว่าถ้ามีการประชุมครั้งที่ 3 มีการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯจากพรรค พท. ส.ว.จะยกมือให้หรือไม่ นายกิตติศักดิ์ตอบว่า ถ้านายพิธาไม่ได้ ก็เป็นหน้าที่ของพรรคอันดับสองคือ พท. หาก พท.จะจัดตั้งรัฐบาลต้องไม่มีพรรค ก.ก.เท่านั้น ส่วนพรรค พท.จะไปรวมกับใครก็แล้วแต่ ตนไม่ยอมรับนายพิธาและพรรค ก.ก.เป็นรัฐบาล เมื่อถามว่าหากครั้งที่ 2 มีการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯคนอื่นด้วย ถือว่าไม่ซ้ำญัตติจะเดินหน้าไปได้หรือไม่ นายกิตติศักดิ์ตอบว่า ต้องดูว่ามีชื่อพรรค ก.ก.อยู่หรือไม่ ก.ก.และ พท.ไปอำเภอหย่ากันแล้วหรือยัง ถ้าหย่ากันแล้วก็ไม่น่ามีปัญหา ถ้าเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯคนอื่นมา สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือพรรค ก.ก.ไปเป็นฝ่ายค้าน ให้พรรค พท.จัดตั้งรัฐบาล แต่ก็อยู่ที่การตัดสินใจของ 8 พรรคร่วม ถ้าด้อมส้มจะไปบ้านตน ก็ยินดีเชิญ ไม่มีธุรกิจมีนาอยู่ 10 กว่าไร่ จะได้ให้ช่วยทำนาซะเลย
ศาล รธน.นัดชี้คดี “ทิม” 19 ก.ค.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลรัฐธรรมนูญว่า คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดประชุม วันที่ 19 ก.ค.เวลา 09.30 น. มีวาระประชุมที่สำคัญ คือ เรื่องเสนอเพื่อพิจารณาคำร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ว่าสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่ อยู่ในระเบียบวาระที่ 4 เรื่องพิจารณาที่ 23/2566 มีการระบุหมายเหตุพิจารณาขยายระยะเวลาการเสนอความเห็นของคณะตุลาการ คณะที่ 1 ต่อศาล ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญมาตรา 31 พิจารณาว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ หากศาลมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยแล้ว ก็จะพิจารณาข้อมูลข้อเท็จจริงตามคำร้อง และหากปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องจริง จะมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ไว้จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย และให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน ทั้งนี้วันที่ 19 ก.ค. เป็นวันเดียวกับการนัดโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2
ตั้งแท่นล่าเกรียนคีย์บอร์ด
ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. กล่าวว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. และชุดทำงานตำรวจไซเบอร์ เตรียมความพร้อมหากมีผู้เสียหายประสงค์ที่จะเข้ามาแจ้งความกรณี ส.ว. 10 กว่าคน ยื่นฟ้องบุคคลที่โพสต์ข้อความหมิ่นประมาท กระทบต่อธุรกิจของครอบครัว และเครือญาติ หลังไม่โหวตให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ พรรค ก.ก.เป็นนายกฯ นอกจากนี้ได้ตั้งคณะกรรมการ ประกอบด้วย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) บช.สอท. หน่วยความมั่นคง และ บก.ปอท. ร่วมกันพิจารณาแยกการกระทำผิดว่าเข้าข่ายในรูปแบบใด
ห้ามม็อบรัศมี 50 ม. รอบสภา
วันเดียวกัน พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. และ พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ รอง ผบช.น.ดูแลงานมั่นคง ลงนามในคำสั่ง บช.น.ที่ 318/2566 เรื่องประกาศห้ามชุมนุมสาธารณะในรัศมีไม่เกิน 50 เมตร รอบรัฐสภาตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะมาตรา 7 วรรคท้าย ตามที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 มีหนังสือด่วนที่สุดที่ 0015. (บก.น.1) 15/6570 ลงวันที่ 16 ก.ค.2566 ขอให้ออกประกาศ เนื่องด้วยในวันที่ 19 ก.ค.2566 มีการประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาลงมติเลือกนายกฯ และจะมีการชุมนุมเพื่อเรียกร้องทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ กำหนดพื้นที่ห้ามชุมนุมและพื้นที่ชุมนุมรอบรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.เวลา 06.00 น.ถึงวันที่ 21 ก.ค.เวลา 24.00 น.
แจงติดอาร์ม “แมวคาบดาบ”
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. กล่าวถึงกรณีสื่อโซเชียลแชร์ภาพตำรวจติดสัญลักษณ์ที่ชุดเครื่องแบบเป็นภาพขีดฆ่าไดโนเสาร์ เขียนข้อความหัวโบราณ และแมวส้มคาบมีด ระหว่างอำนวยความสะดวกการจัดกิจกรรมคาร์ม็อบ แจกใบลาออกให้ ส.ว.ว่า ข้อเท็จจริงมีกลุ่มผู้ชุมนุมได้เอาแผ่นดังกล่าวมาแปะไว้ที่แขนทั้ง 2 ข้างของตำรวจ สน.สําราญราษฎร์ และถ่ายภาพ และตำรวจได้นำแผ่นนั้นออกทันที เครื่องแบบข้าราชการไม่ให้ติดอย่างอื่นอยู่แล้ว เรื่องนี้กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) จะตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง ส่วนกรณี ส.ว.ร้องขอเรื่องการดูแลรักษาความปลอดภัย ตร.ได้จัดเจ้าหน้าที่ไปช่วยดูแลแล้ว ขอประชาสัมพันธ์ไปยังทุกกลุ่ม การแสดงความคิดเห็นการแสดงออกไม่มีใครว่า แต่อย่าไปกระทบต่อสิทธิ ให้ปฏิบัติให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ที่อาจจะมีเรื่องหมิ่นประมาทและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หรือ พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคล
ยึดคำสั่งไม่ขัดแย้ง “ด้อมส้ม”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.อ.ธนภาค ประเสริฐสม รอง สว.จร.สน.สำราญราษฎร์ ได้รายงานกับ บช.ว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ค. เวลา 13.00 น. ขณะปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกการจราจร ถนนราชดำเนิน บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หน้าร้านแมคโดนัลด์ มีกลุ่มผู้ทำกิจกรรมวัยรุ่นหลายคนเดินเข้ามารุมล้อม ขอติดอาร์มรูปไดโนเสาร์ และรูปแมวคาบดาบ บอกว่าชุดเครื่องแบบใหม่ของ ตร.สวยดี ก่อนขอถ่ายรูป จึงไม่ขัดขืนเพราะอาจไม่เกิดผลดี แต่ไม่ได้กล่าวอนุญาตแต่อย่างใด เพราะผู้บังคับบัญชากำชับให้เป็นกลางพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับทุกๆฝ่าย เมื่อกลุ่มวัยรุ่นติดเสร็จเดินผ่านไปก็แกะออกและเก็บมาลงบันทึกประจำวันไว้
เปิดเซฟ “ธรรมนัส” รวยพันล้าน
วันเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ ส.ส.กรณีพ้นตำแหน่ง 100 คน อาทิ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พ้น ส.ส.พะเยา พรรค พปชร. แจ้งบัญชีทรัพย์คู่สมรสนางอริสรา พรหมเผ่า และ น.ส.ธนพร ศรีวิลาส ที่อยู่กินกันฉันสามีภรรยา รวมถึงบุตรชอบด้วยกฎหมาย 2 คน และบุตรอุปการะเลี้ยงดู 5 คน มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 1,043,096,356 บาท เป็นของ ร.อ.ธรรมนัส 802,149,770 บาท หนี้สิน 76,265,801 บาท ของนางอริสรา 187,564,310 บาท หนี้สิน 8,814,554 บาท และ น.ส.ธนพรมี 108,021,974 บาท หนี้สิน 3,260,821 บาท บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ 53,382,275 บาท ทั้งนี้ ร.อ.ธรรมนัสยังแจ้งว่า มีรายได้ต่อปี 4,962,720 บาท รายจ่ายต่อปี 40.8 ล้านบาทในจำนวนนี้เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูบุพการี 1.2 ล้านบาท และค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร 16.8 ล้านบาท
“โรม” ปลดหนี้ กยศ.หมดแล้ว
นายรังสิมันต์ โรม พ้น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. มี 13,380,781 บาท หนี้สิน 6,602,028 บาท แจ้งหมายเหตุไว้ในส่วนรายจ่ายว่าชำระหนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) 48,699 บาทหมดแล้ว นายปดิพัทธ์ สันติภาดา พ้น ส.ส.พิษณุโลก พรรค ก.ก. มี 11,833,928 บาท หนี้สิน 2,496,908 บาท นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ พ้น ส.ส.กทม. พรรค ก.ก. มี 10,485,862 บาท นายณัฐวุฒิ บัวประทุม พ้น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. มี 9,265,886 บาท หนี้สิน 513,701 บาท นายวาโย อัศวรุ่งเรือง พ้น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. มี 40,542,103 บาท หนี้สิน 15,215,388 บาท นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล พ้น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. มี 71,578,345 บาท หนี้สิน 2,944,378 บาท เป็นของนางอมรัตน์ 52,348,025 บาท นายวิเชษฐ์ โรจนสุกาญจน คู่สมรส 19,230,320 บาท น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล พ้น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. 5,294,506 บาท หนี้สิน 2,013,536 บาท นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ พ้น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. มี 261,542,260 บาท
“เดชอิศม์” อู้ฟู่ใช่ย่อย 615 ล้าน
นายเดชอิศม์ ขาวทอง พ้น ส.ส.สงขลา พรรค ปชป. มี 615,123,469 บาท หนี้สิน 3,750,202 บาท เป็นของนายเดชอิศม์ 310,491,691 บาท ของ น.ส.สุภาพร กำเนิดผล อยู่กินฉันสามีภรรยา 301,888,008 บาท นายประเสริฐ จันทรรวงทอง พ้น ส.ส.นครราชสีมา พรรค พท. มี 39,722,825 บาท หนี้สิน 627,841 บาท นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร พ้น ส.ส.มหาสารคาม พรรค พท. มี 25,294,982 บาท และนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรค ภท. มี 147,047,605 บาท ที่น่าสนใจคือแจ้งถือครองหุ้นบริษัท Thai Food Network Tv.inc 1 หน่วย เมื่อวันที่ 8 ก.ย.2554 นอกจากนี้ยังมีบัญชีข้าราชการระดับสูง โดยเฉพาะนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา พ้นอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช มี 70,652,584 บาท ที่ ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาเรียกรับสินบน มีหนี้สิน 7,930,920 บาท เป็นของนายรัชฎา 49,767,685 บาท ของนางมัณฑนา สุริยกุล คู่สมรส 20,225,415 บาท บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ 659,484 บาท
“เรืองไกร” หาไม่เจอหุ้นสื่อ “ชาดา”
ด้านนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรค พปชร. กล่าวถึงกรณีนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรค ภท. ถือครองหุ้นสื่อ Thai Food Network Tv.inc ว่า จากการค้นข้อมูลในกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ยังไม่ปรากฏชื่อหุ้นดังกล่าว ทำให้ยังไม่สามารถตรวจสอบวัตถุประสงค์บริษัท และบัญชีผู้ถือหุ้นได้ และจากการค้นหาด้วยภาษาไทยใช้คำว่า ไทย ฟู้ดส์เน็ตเวิร์ก ไม่มีคำว่า ทีวี ไม่ตรงกับชื่อการถือครองที่นายชาดาแจ้งต่อ ป.ป.ช.ดังนั้นข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอต่อการยื่นคำร้องให้ กกต.ตรวจสอบ ยืนยันว่าไม่ได้ร้องหรือแสดงความเห็นพร่ำเพรื่อแต่ดูจากพยานหลักฐานเป็นหลัก และยังจะตามเรื่องนี้ต่อไป ต่างจากกรณีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก.ที่ถือหุ้น ITV ที่ปรากฏข้อมูลในการค้นหาได้ชัดเจน