พปชร.งานเข้า กกต.ตั้งแท่นสอบปมนายทุนจีนเอี่ยวผับฉาวบริจาคเงินเข้าพรรค 3 ล. “ศรีสุวรรณ” ตามฟอร์ม จี้ กกต.ตรวจสอบ ถือ 2 สัญชาติ ถ้าผิดจริงถึงขั้นยุบพรรค พรรคฝ่ายค้านจ่อยกขึ้นหารือ พท.บี้ออกกฎคุมธุรกิจสีเทาฟอกขาว “ชูศักดิ์” ชี้เป้าสอบที่มาเงินได้มาโดยชอบหรือไม่ ยัน พท.ไม่เอาคืนเพราะเจ็บมาเยอะ “บิ๊กป้อม” สุดมั่นไม่โดนยุบพรรค ก้าวไกลฉะ ครม.เปิดทางทุนต่างชาติฮุบที่ดินไทย จวกนโยบายไร้สติ “สงวน” กระทุ้งพรรคร่วมรัฐบาลรับผิดชอบ “วัชระ” ขู่ถ้าไม่ทบทวนอาจถวายฎีกา “ประเสริฐ” หยัน “หมดตู่ ชูป้อม” ลิเกโรงเก่า “สมคิด” ไม่เชื่อ พปชร.ได้ตั้ง รบ. “นิพนธ์” เศร้า “ไตรรงค์” ไขก๊อก คนที่อยู่เดินหน้าต่อ “บิ๊กตู่-นายกฯ สปป.ลาว” ม่วนซื่น วางศิลาฤกษ์สะพานมิตรภาพแห่งที่ 5
จากกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ยอมรับว่านายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ “หาวเจ๋อ ตู้” ชายเชื้อชาติจีน ที่เพิ่งได้รับสัญชาติไทย มีชื่อบริจาคเงินให้พรรค 3 ล้านบาท ถูกหลายฝ่ายเริ่มตรวจสอบว่าอาจเข้าข่ายกระทำผิด พ.ร.ป.พรรคการเมือง ถึงขั้นถูกยุบพรรคได้
เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ “หาวเจ๋อ ตู้” ชายเชื้อชาติจีน ที่เพิ่งได้รับสัญชาติไทย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับผับฉาวย่านยานนาวา มีชื่อบริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จำนวน 3 ล้านบาท เมื่อปี 2564 โดยที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ประธานยุทธศาสตร์พรรค พปชร. ยอมรับว่ามีการบริจาคเงินให้พรรคจริง ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ข้อ 4 กำหนดว่า เมื่อมีผู้ร้อง หรือข้อเท็จจริงปรากฏต่อนายทะเบียนพรรค การเมือง ว่ามีพรรคการเมืองใดกระทำการอันอาจเป็นเหตุให้ยุบพรรค นายทะเบียนพรรคการเมืองสามารถดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ทันที ดังนั้นกรณีนี้นายทะเบียนพรรคการเมือง หรือเลขาธิการ กกต.จะดำเนินการตรวจสอบ รวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานก่อน หากมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดอันเป็นเหตุให้ยุบพรรค จะเสนอความเห็นต่อ กกต.พิจารณาต่อไป
“ศรีฯ” ไม่พลาดโร่ร้อง กกต.
ต่อมาเวลา 13.00 น. ที่สำนักงาน กกต. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นหนังสือต่อ กกต. ขอให้ตรวจสอบพรรคพลังประชารัฐ รับเงินบริจาค 3 ล้านบาทจากนายทุนชาวจีนเจ้าของสถานบันเทิงชื่อดังย่านยานนาวา นายศรีสุวรรณกล่าวว่า มีข้อสงสัยว่านักธุรกิจชาวจีนคนดังกล่าว ได้แปลงสัญชาติมาเป็นไทยเมื่อปี 2557 แต่เนื่องจากบุคคลดังกล่าวเป็นนักธุรกิจที่ประกอบกิจการหลากหลาย มีบริษัทในเครือหลายสิบบริษัท เขาได้สละสัญชาติจีนด้วยหรือไม่ หรือว่ามีการถือสองสัญชาติ ซึ่งเกี่ยวข้องกับพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 44 ระบุว่า ห้ามพรรคการเมืองไปรับเงินรับทอง หรือรับประโยชน์อื่นใดจากบุคคลที่ให้การสนับสนุนการทำลายความมั่นคงการทำลายเศรษฐกิจของชาติ มาตรา 72 ระบุว่า ห้ามพรรคการเมืองไปรับเงินหรือทรัพย์สินประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรรู้ว่าแหล่งที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมาตรา 74 ระบุว่า ห้ามพรรคการเมืองรับเงินจากบุคคลที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย
ถ้าผิดจริงถึงขั้นยุบพรรคได้
นายศรีสุวรรณกล่าวว่า เรื่องเหล่านี้เกี่ยวพันกับตัวบุคคลที่แปลงสัญชาติหรือโอนสัญชาติมาเป็นไทยแล้ว ไม่ทราบว่ายังถือสองสัญชาติอยู่หรือไม่ การที่ตำรวจเข้าทลายสถานบันเทิงเป็นผับที่ไม่ได้ขออนุญาตตามกฎหมาย มีการเสพยาเสพติด อาจเข้าข่ายกระทำผิดต่อศีลธรรมอันดีและจารีตของประเทศ รวมถึงความมั่นคง จำเป็นที่ กกต.ต้องตรวจสอบเชิงลึก และวินิจฉัยว่าบุคคลดังกล่าวถือ 2 สัญชาติจริงหรือไม่ และเกี่ยวพันไปถึงธุรกิจทั้งหมดนับ 10 บริษัท มีนอมินีเข้าไปถือหุ้นเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ เพราะถ้าเกินกว่ากฎหมายกำหนด จะถือว่าเป็นบริษัทของคนต่างด้าว เป็นข้อห้ามในกฎหมายพรรคการเมืองเช่นกัน หากพบว่ามีความผิดจะเข้าข่ายตามมาตรา 92 (3) เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมืองดังกล่าวได้
พรรคฝ่ายค้านจ่อยกขึ้นหารือ
นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ว่า คาดว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านจะหารือประเด็นดังกล่าวในวันที่ 1 พ.ย. การให้ชาวต่างชาติมาเปิดผับหรือทำธุรกิจอื่นในไทย ไม่ได้ทำให้ประเทศได้ประโยชน์ รวมถึงมติ ครม.ที่ออกมาดึงดูดนักลงทุน หากนำเงินมาลงทุน 40 ล้านบาท สามารถซื้อที่ดินในประเทศไทยได้ 1 ไร่ ดูแล้วไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้คนในประเทศ แต่เป็นการเอื้อให้ต่างชาติและกลุ่มทุน เรื่องนี้เริ่มแปลกๆ คล้ายกรณีทัวร์ศูนย์เหรียญ สมมติชาวจีนหรือชาวต่างชาติมีเงินทุนอยู่ 1,000 ล้านบาท แบ่งให้ลูกน้องนำมาลงทุนและซื้อที่ดินในไทยคนละ 1 ไร่ รวมกันก็จะได้ที่ดินขนาดใหญ่ ทำให้ประเทศเสียประโยชน์มาก อาจเสียกรรมสิทธิ์ต่างๆ รัฐบาลไม่ได้มองถึงอนาคตระยะยาว
ฉะเอื้อทุนต่างชาติแบบไร้สติ
นายธีรัจชัยกล่าวว่า กำลังรวบรวมข้อมูล เช่น กระบวนการตรวจสอบการดำเนินธุรกิจผับว่ามีความชัดเจนอย่างไร ต้องโยงเกี่ยวกับกรณีให้ต่างชาติมาซื้อที่ดินในประเทศด้วย ทั้งนี้ ประเทศไทยมีที่ดินทั้งหมด 320 ล้านไร่ มีประมาณ 100 ล้านไร่ที่คนทั่วไปมีกรรมสิทธิ์ถือครอง ส่วน 2 ใน 3 ถือครองโดยรัฐ แบ่งดูแลโดย 9 กระทรวง ทุกครั้งหลังการทำรัฐประหารจะมีการขีดเส้นใหม่ทับที่คนที่เคยอยู่ ทำให้ปัจจุบันเพิ่มจำนวนถึงกว่า 400 ล้านไร่ เกินกว่าที่ดินจริง การที่รัฐบาลทำแบบนี้เป็นการถือเรื่องเงินเป็นตัวตั้ง ออกนโยบายแบบไร้สติปัญญา
พท.จี้ กกต.คุมธุรกิจเทาฟอกขาว
น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การชิงปฏิเสธความเชื่อมโยงเงินบริจาค 3 ล้านบาทของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ดูเป็นการปฏิเสธความรับผิดชอบหรือไม่ การตรวจสอบที่มาของเงินบริจาคโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ให้กับผู้บริจาค ขอเรียกร้องให้ กกต.ตรวจสอบเรื่องการถือสองสัญชาติ จะมีผลต่อการรับเงินบริจาคของพรรคการเมืองหรือไม่ เพื่อให้เกิดความกระจ่างกับสังคม และควรมีการกำหนดระเบียบ ออกข้อบังคับให้สามารถตรวจสอบการบริจาคเงินของพรรคการเมือง เพื่อไม่ให้เกิดการฟอกขาวของเครือข่ายธุรกิจสีเทาในอนาคตต่อไป
“ชูศักดิ์” ชี้เป้าสอบที่มาเงิน 3 ล้าน
นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะไปยื่นยุบพรรคนั้นพรรคนี้ ตามข้อเท็จจริงผู้บริจาคเงิน 3 ล้านบาทให้พรรค พปชร. เดิมเป็นคนสัญชาติจีน แต่ขอแปลงสัญชาติเป็นไทย และได้สัญชาติเรียบร้อยเมื่อวันที่ 22 ต.ค.2557 ตามพ.ร.บ.สัญชาติมาตรา 19 (2) บุคคลจะขอแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทยต้องไม่ใช้สัญชาติเดิม (มิเช่นนั้นจะถูกถอนสัญชาติไทย) ดังนั้นจึงอาจเข้าใจได้ว่าปัจจุบันผู้บริจาคถือสัญชาติไทยเพียงสัญชาติเดียว และในวันที่บริจาคเงิน คือวันที่ 5 พ.ค.2564 ได้ถือสัญชาติไทยแล้ว จึงไม่ขัด พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรค การเมืองมาตรา 74 (1) ที่ห้ามรับบริจาคเงินจากบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย แต่ตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองมาตรา 72 ห้ามมิให้พรรคการเมืองรับบริจาคเงิน โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบ
แต่ พท.ไม่ร้องเพราะเจ็บมาเยอะ
นายชูศักดิ์กล่าวว่า การบริจาคเงินถึง 3 ล้านบาทน่าจะต้องมีการตรวจสอบแหล่งที่มาของเงิน กรณีนี้คนตอบคำถามได้ดีที่สุดคือพรรค พปชร. และหากเข้าข่ายมาตรานี้ก็อาจถือเป็นเหตุยุบพรรคการเมืองได้ตาม ม.92(3) เมื่อถามว่าจะยื่นยุบพรรค พปชร.หรือไม่ นายชูศักดิ์ตอบว่า พรรคเพื่อไทยเจ็บปวดกับการใช้การยุบพรรคเป็นเครื่องมือทางการเมืองพรรคถูกยุบมีผลให้สมาชิกพรรคเป็นหมื่นเป็นแสนคนต้องสิ้นสภาพสมาชิกไปด้วย เราจึงเห็นว่าการยุบพรรคควรมีกรณีเดียวเท่านั้น คือการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กรณีอื่นให้เป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารพรรค ให้เป็นเรื่องนายทะเบียนพรรคการเมือง เราคงไม่ไปยุ่งด้วย แม้จะอยู่คนละขั้วการเมืองกันก็ตาม
“สงวน” จี้พรรคร่วม รบ.รับผิดชอบ
นายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเปิดช่องให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินในไทยตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนนั้น ในฐานะเป็นคนไทยคนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าวที่การกระทำไม่ต่างจากการขายแผ่นดินไทยให้คนต่างชาติ ปัญหาที่รัฐบาลจำเป็นต้องขายแผ่นดินไทยเพื่อแลกกับการลงทุน เป็นนโยบายที่จนแต้มและจำเป็นต้องทำเพื่อนำเงินมาลงทุน หวังว่าชาวต่างชาติจะนำเงินมาลงทุน แต่รัฐบาลไม่เคยออกมาอธิบายว่าเหตุใดต้องยกแผ่นดินไทยให้กับชาวต่างชาติ ออกนโยบายแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอด ให้สิทธิชาวต่างชาติมีอำนาจเหนืออธิปไตยของไทย มันคุ้มกันหรือไม่ เป็นการขายแผ่นดินไทยให้คนต่างชาติ ต่างจากการเช่าเพื่อการลงทุน เมื่อหมดเวลาเช่าเขาต้องคืนที่ดิน พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดต้องร่วมรับผิดชอบ พรรคฝ่ายค้านพร้อมเปิดโปงขบวนการยกแผ่นดินให้ต่างชาติต่อไป
“ป้อม” สุดมั่นใจไม่โดนยุบพรรค
ช่วงบ่ายที่คลองโอ่งอ่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีนายทุนจีนผับดังบริจาคเงินให้พรรค 3 ล้านบาทว่า พรรคพลังประชารัฐส่งเรื่องให้ กกต.แล้ว เมื่อถามว่านายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องให้ กกต.ตรวจสอบว่าเข้าข่ายถูกยุบพรรคหรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบว่า ไม่ยุบหรอก เมื่อถามย้ำว่ากังวลหรือไม่ว่าอาจถูกยุบพรรคตามมา พล.อ.ประวิตรตอบว่า ตามที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว. ยุติธรรม ประธานยุทธศาสตร์พรรคให้สัมภาษณ์ไปแล้ว เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ พล.อ.ประวิตรส่ายหัวแทนคำตอบ ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงกระแสข่าวจับมือกับเพื่อไทยตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งคราวหน้า รวมถึงความชัดเจนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ จะสมัครเข้าเป็นสมาชิก พปชร. แต่ พล.อ.ประวิตรเลี่ยงที่จะตอบและพูดตัดบทว่า “ยังไม่เลือกตั้งเลย”
“วัชระ” แซะ “กรณ์” คิดแบบคนรวย
นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชา ธิปัตย์ กล่าวตอบโต้นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ที่ออกมาสนับสนุนนโยบายรัฐบาลให้คนต่างชาติซื้อที่ดินในไทยว่า เป็นวิธีคิดแบบพวกนายหน้าหรือโบรกเกอร์ตลาดหุ้นโดยไม่คำนึงผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อสังคมไทย คิดแบบคนรวย คนมีที่ดินหลักร้อยหลักพันไร่ แต่ไม่คำนึงถึงบรรพบุรุษไทยที่กว่าจะสร้างชาติสร้างแผ่นดินกันมาและลูกหลานไทยว่าจะมีแผ่นดินได้อาศัยอยู่ในอนาคตหรือไม่ หากปล่อยไปคนไทยจะเสียแผ่นดินให้ต่างชาติแน่ ข้ออ้างเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต้องถามดังๆว่า ใครเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ นายทุนที่ดินหรือประชาชนกันแน่ แต่ที่แน่ที่สุดคือแผ่นดินไทยต้องตกไปเป็นกรรมสิทธิ์ของต่างชาติที่มั่งคั่ง แล้วจะเหลือแผ่นดินไทยให้ลูกหลานไทยในอนาคตสักเท่าใด
ขู่ รบ.ไม่ทบทวนอาจถวายฎีกา
นายวัชระกล่าวว่า ที่นายกรณ์ระบุว่า ถ้าไม่ดีเลิกได้ภายใน 5 ปี แล้วแผ่นดินที่ชาวต่างชาติมาซื้อเป็นกรรมสิทธิ์ไปแล้วจะทำอย่างไร จะไปยึดที่คืนมาได้หรือ ก็ทำไม่ได้ อ้อยเข้าปากช้างไปแล้ว ความเห็นอย่างนี้จึงสนับสนุนให้มีการขายแผ่นดินให้ต่างชาติแลกกับเงินลงทุนแค่ 40 ล้านบาทในเวลาเพียง 3 ปีก็ถอนการลงทุนออกได้ หากรัฐบาลไม่สนใจเสียงคัดค้านประชาชนจะเข้าชื่อถวายฎีกาขอความเป็นธรรมต่อไป
พปชร.ชู “บิ๊กตู่” ไปต่ออีกสมัย
นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ยืนยันวันนี้ ส.ส.พปชร. ยังสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯอีกสมัยในการเลือกตั้งครั้งหน้า ยังเหลือเวลาอีกพอสมควร เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์คงยังไม่ตัดสินใจอะไรเร็วๆนี้ ขอโฟกัสเรื่องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนประชาชนก่อน เชื่อเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจะมีความชัดเจนแน่นอน และมั่นใจว่าวาระ 2 ปีนั้นไร้ปัญหา ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค สามารถวางยุทธศาสตร์หาเสียงสู้เลือกตั้งสมัยหน้าได้แน่ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ไปต่ออีก 2ปี ให้ทุกอย่างที่ทำมาเข้าที่เข้าทาง หลังจากนั้นใครจะมาเป็นนายกฯต่อไม่ใช่ปัญหาแล้ว
พท.กาง 3 เงื่อนไขร่วมรัฐบาล
ด้านนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “ถึงข่าวถึงคน” เพจเฟซบุ๊ก THE ROOM 44 ว่า พรรคเพื่อไทยยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าตามแผนแลนด์สไลด์ ยังไม่ได้คิดไปไกลถึงการจับมือกับพรรคไหนจัดตั้งรัฐบาล หรือเปิดประตูร่วมงานกับพลังประชารัฐ ภูมิใจไทย และการจับมือกับ พปชร.คงไม่ง่าย เรายึดหลักสำคัญคือ 1.ต้องฟังเสียงประชาชน 2.เรื่องอุดมการณ์ และนโยบายการแก้ปัญหาประเทศ ต้องยึดตามพรรคเพื่อไทยเป็นหลัก 3.จุดยืนเรื่องประชาธิปไตยที่พรรคให้ความสำคัญมาตลอด ต้องมีหลักนี้ถึงเดินไปด้วยกันได้ เชื่อว่าประชาชนอยากได้อะไรใหม่ๆ ผู้บริหารใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯอยู่มา 8 ปีแล้ว ถ้าเป็นต่อได้อีกแค่2ปี ไม่มีประโยชน์เลย
เย้ย “หมดตู่ ชูป้อม” ลิเกโรงเก่า
นายประเสริฐกล่าวว่า ส่วนแนวทางนายกฯคนละครึ่ง “หมดลุงตู่ สู่ลุงป้อม” เหมือนลิเกโรงเดียวกัน จนถึงตอนนี้ยังไม่มีอะไรชัดเจน แม้แต่สมาชิกพรรค พปชร.ยังสงสัย 2 ลุงจะเอายังไง จะทิ้งกันลงหรือเปล่า แต่ถ้าจะเล่นการเมืองต่อให้สง่างาม ก็ต้องเปิดหน้าให้ชัด จะเป็นสมาชิกพรรคไหน เป็นแคนดิเดตนายกฯหรือไม่ พรรคอะไร ประชาชนอยากรู้
“สมคิด” ไม่เชื่อ พปชร.ได้ตั้ง รบ.
นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระแสข่าวการจับมือกับพรรค พปชร. สนับสนุน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกฯหลังเลือกตั้งคราวหน้าว่า มันเป็นแค่กระแส พรรคเพื่อไทยไม่คิดจับมือใครทั้งนั้น หากประชาชนไว้วางใจเราจำนวนมาก สามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ก็ไม่จำเป็นต้องจับมือใคร ขอให้รอฟังคำตอบจากประชาชนว่าจะมอบอำนาจให้เราบริหารประเทศหรือไม่เท่านั้น เมื่อถามว่านายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ประธานยุทธศาสตร์ พปชร. มั่นใจว่าจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้าต่อ นายสมคิดตอบว่า เป็นไปไม่ได้ 8 ปีมานี้ประชาชนได้รับบทเรียนแสนสาหัสจากรัฐบาลนี้ คำตอบของประชาชนจะอยู่ในคูหาเลือกตั้ง
“จุรินทร์” ลุยทวงคืนเชียงใหม่
ที่ จ.เชียงใหม่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมนายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรค รับผิดชอบภาคเหนือ และคณะลงพื้นที่จัดกิจกรรม “จุรินทร์ ออนทัวร์” พบปะประชาชนชาวเชียงใหม่ พร้อมเปิดตัวนายนิคม เชาว์กิตติโสภณ อดีต ส.ว. เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ นายจุรินทร์กล่าวว่า เชียงใหม่เคยเป็นของประชาธิปัตย์ มีรัฐมนตรีมาแล้วหลายคน หนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคก็อยู่เชียงใหม่ อยู่กับประชาธิปัตย์มา 11 สมัย ไม่เคยเปลี่ยนไปไหน เพราะยึดมั่นและภูมิใจในพรรค ยุคนี้ที่ตนเป็นหัวหน้าพรรค เป็นยุคอุดมการณ์ทันสมัย สามารถช่วยเหลือประชาชนและเกษตรกรได้จำนวนมาก
“นิพนธ์” เศร้า “ไตรรงค์” ไขก็อก
ขณะที่นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคและอดีตรองหัวหน้าพรรคลาออกว่า ต้องเคารพการตัดสินใจ แม้ก่อนหน้านี้ยืนยันกับตนว่าจะไม่ลาออก ยืนยันว่าไม่ได้มีความขัดแย้งใดๆกับพรรค นายไตรรงค์เคยบอกว่ามีผู้ใหญ่ในรัฐบาลทาบทามให้ไปเป็นที่ปรึกษา จึงเกรงใจว่ายังอยู่กับประชาธิปัตย์ ตอนนั้นจึงรับตำแหน่งได้อย่างไม่เป็นทางการ ยืนยันไม่มีการน้อยอกน้อยใจกับพรรค เรายังมีความใกล้ชิด เมื่อวันที่ 27 ต.ค. นายไตรรงค์ยังมาร่วมงานศพมารดา ตนที่ จ.สงขลา ยังคุยกันตลอด ยอมรับว่าทุกครั้ง ที่มีคนในพรรคลาออก เสียดายทุกคน แต่ต้องเคารพการตัดสินใจ ก่อนหน้านี้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค เคยไปคุยกับนายไตรรงค์ที่บ้านมาแล้ว แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วคนที่อยู่ก็ต้องขับเคลื่อนพรรคต่อ เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้ขับเคลื่อน ไม่กังวลว่าจะมีเลือดไหลออก แต่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
ไม่หลอก ปชช.ไม่ฮั้วพรรคใด
นายนิพนธ์ยังกล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยประกาศพร้อมร่วมรัฐบาลกับทุกพรรค แต่ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ว่า เรื่องแบบนี้ต้องคุยกันก่อนเพราะเป็นเรื่องใหญ่ พรรคเพื่อไทยต้องตอบคำถามมากกว่า นั้นว่าใครจะเป็นแกนนำ ใครเป็นพรรคร่วม ทางการเมืองเป็นเรื่องไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับคนรวบรวมเสียงข้างมาก ครั้งที่แล้วเพื่อไทยก็ไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เงื่อนไขทางการเมืองจะมาบอกตอนนี้ไม่ได้ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ต้องรู้ก่อนว่ามีกำลัง คนอยู่เท่าไหร่ หากพูดตอนนี้ก็เหมือนไม่เคารพการตัดสินใจของประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ไม่ผูกมัดอะไรกับใครล่วงหน้า ไม่เช่นนั้นจะเหมือนกับฮั้วทางการเมือง เหมือนหลอกลวงประชาชน เราไม่ทำ
“สมคิด” จัดคิวลุยเยาวราชบ้านเกิด
ส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) วันที่ 1 พ.ย. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรค สอท. เตรียมร่วมกิจกรรม “คิด-ถึง-บ้าน” ณ เยาวราชบ้านเกิด…จุดเริ่มต้นชีวิตของนายสมคิด เพื่อพบปะประชาชน ผู้ประกอบการในพื้นที่เยาวราช ศูนย์กลางเศรษฐกิจของ กทม.และประเทศไทย สักการะเจ้าแม่กวนอิม ที่มูลนิธิเทียนฟ้า เดินพบปะประชาชน พูดคุยกับผู้ประกอบการที่โรงแรมไชน่าทาวน์ และเดินไปยังบ้านเกิดถนนเยาวพานิช สักการะศาลเจ้าปึงเถ่ากงม่า แล้วเดินทางโดยรถตุ๊กตุ๊กไปวัด ไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เข้ากราบนมัสการสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (สมเด็จธงชัย) เจ้าคณะใหญ่ หนกลาง กรรมการมหาเถรสมาคม และสมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ถือเป็นการลงพื้นที่ กทม.ครั้งแรกของนายสมคิด หลังรับตำแหน่งประธานพรรค โดยมีนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้า พรรคและประธานภาค กทม.ร่วมลงพื้นที่
“บิ๊กตู่” อ้อนคนบึงกาฬอย่าเพิ่งเบื่อ
ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมืองเมื่อเวลา 07.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายก รัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พร้อมนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และคณะเดินทางไป จ.บึงกาฬ เพื่อเป็นประธานร่วมในพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ทันทีเมื่อมาถึงบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง นายกฯเดินทักทายชาวบ้านที่มาต้อนรับและกล่าวกับชาวบึงกาฬว่า รัฐบาลเอาความรัก ความคิดถึง ความห่วงใยมาฝาก ระหว่างนั้นมีหญิงสูงอายุเข้ามาสวมกอด พล.อ.ประยุทธจึงกอดตอบพร้อมหัวเราะก่อนทุบไปที่หน้าอกและส่งสัญลักษณ์มือไอเลิฟยูให้ทุกคน และกล่าวว่า “เอาหัวใจมาฝาก นายกฯก็มีเชื้อสายอีสานเหมือนกัน เกิดที่โคราช เว้าลาวได้อยู่ ขออย่าเพิ่งเบื่อก็แล้วกัน”
วางศิลาฤกษ์สะพานมิตรภาพ
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์และคณะลงเรือข้ามแม่น้ำโขงไปยังบริเวณพื้นที่ก่อสร้างที่แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว ทันทีที่ถึงได้สวมกอดกับนายพันคำ วิพาวัน นายกฯสปป.ลาว อย่างแนบแน่นพร้อมทักทายอย่างชื่นมื่น มีการหารือทวิภาคี นายกฯทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นว่าสะพานแห่งนี้จะเป็นสัญลักษณ์สำคัญแสดงถึงความเป็นมิตรที่ใกล้ชิด เป็นสะพานที่เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการขนส่งเส้นทางหมายเลข 8 (R8) ระหว่างไทย-ลาว-เวียดนามให้สะดวกยิ่งขึ้น ส่วนการเชื่อมต่อระบบรางของไทยกับรถไฟลาว-จีน นายกฯทั้งสองฝ่ายสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อลดอุปสรรคขนส่งและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่มีให้เต็มที่ ต่อมาเวลา 11.50 น. พล.อ.ประยุทธ์และนายพันคำเป็นประธานพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการเพื่อความเป็นสิริมงคลและเป็นความเจริญรุ่งเรืองของทั้ง 2 ประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ได้ลั่นฆ้อง 9 ครั้ง เป็นสัญญาณเริ่มต้นก่อสร้างโครงการนี้
2 นายกฯควงพบชาวบ้านม่วนซื่น
ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีวางศิลาฤกษ์ พล.อ.ประยุทธ์ยังควงนายพันคำพบปะชาวบึงกาฬด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นายพันคำตะโกนทักทายชาวบ้านและถามว่า “ซำบายดีบ่ทุกคน ทุกคนสบายดีมั้ยฮักแพงกันเด้อ” ขณะที่มีชาวบ้านคนหนึ่งเข้าสวมกอดนายพันคำพร้อมกับระบุ “ดีใจนำเด้อที่จะได้สะพาน สิได้ขัวนำ” (ดีใจด้วยนะที่จะได้สะพาน) ขณะเดียวกันมีชาวบ้านตะโกนให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์ “นายกฯสู้ๆ” ก่อนที่นายกฯทั้งสองเดินทางไปรับประทานอาหารกลางวัน ที่ห้องเดอะวัน คอนเวนชั่น ฮอลล์ โรงแรมเดอะวัน จ.บึงกาฬ
พท.ขึงขังควบรวม “ทรู-ดีแทค”
อีกเรื่อง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์หัวหน้าพรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกรณีควบรวมกิจการทรูและดีแทค มีเนื้อหาสรุปว่า มีความกังวล ไม่เห็นด้วยกับการควบรวมกิจการ อาจนำไปสู่การผูกขาดในธุรกิจ กระทบการแข่งขันของผู้ประกอบการและสภาวะการทำธุรกิจและระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม และน่าจะมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นกิจการประเภทเดียวกัน มีส่วนแบ่งการตลาดสูงมาก มีหลายฝ่ายตั้งคำถามว่า มติของ กสทช.ที่รับทราบการควบรวมนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พรรคเพื่อไทยยึดมั่นในหลักนิติธรรมและระบบกฎหมาย คัดค้านการผูกขาดไม่ว่าในธุรกิจใด ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจะยื่นเรื่องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เบื้องต้นจะตั้งกระทู้สดถามในสัปดาห์แรกของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และเสนอญัตติด่วนเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้อีก