ศาลสุราษฎร์ธานี สั่งคุกคดีค้ากามเด็ก สองแม่เล้าโดนหนักคนละ 314 ปี พร้อมชดใช้เยียวยาเหยื่อรวม 3 ล้านบาท ส่วนลูกค้าดีกรีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลใหญ่ หมดอนาคตเจอคุก 24 ปี ส่วนลูกนักการเมืองคนดัง หมอ ครู ทหาร ยังยืนกรานสู้ อัยการเดินหน้าสืบพยาน
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 15 พ.ย. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 5 ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ศาลออกนั่งพิจารณาอ่านคำพิพากษาคดีค้ามนุษย์ที่พนักงานอัยการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.รุ่งฤดี หรือเจ๊น้ำ แซ่เบา (แม่เล้า) เป็นจำเลยที่ 1 น.ส.ตฤษณา หรือเฟย์ จันทร์แก้ว (แฟนทอมของแม่เล้า) เป็นจำเลยที่ 2 และนายสุริยันต์ รักกะเปา เจ้าหน้าที่สังกัดโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งใน จ.สุราษฎร์ธานี (ผู้ซื้อบริการ) เป็นจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ คม 5/2565 ข้อหา กระทำชำเรา อนาจาร ความผิดเกี่ยวกับเพศ ความผิดต่อเสรีภาพความผิดต่อพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ความผิดต่อพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีความผิดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก
โดยตามบรรยายฟ้องระบุว่า น.ส.รุ่งฤดี และ น.ส.ตฤษณา มีพฤติการณ์เป็นแม่เล้าร่วมกันเป็นธุระจัดหาเด็กอายุตั้งแต่ 13 ปี ถึง 18 ปีเศษให้ค้าประเวณีแก่ลูกค้าซึ่งเป็นกลุ่มข้าราชการและนักธุรกิจในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นผู้ซื้อประเวณี จากการสอบสวนจำเลยทั้ง 3 คนให้การรับสารภาพ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามฟ้อง และการกระทำของจำเลยทั้ง 3 เป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน จึงให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามที่โจทก์ฟ้อง
ศาลพิเคราะห์แล้วจึงพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 2 คนละ 314 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ จึงมีเหตุให้บรรเทาโทษจำคุกลงกึ่งหนึ่งเหลือ 157 ปี คงจำคุกได้ 50 ปี และให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันชำระค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์แก่ ผู้เสียหายที่ 1 เป็นเงิน 6 แสนบาท และผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 3 แสนบาท ส่วนผู้เสียหายที่ 3 จะได้ค่าสินไหม 6 แสนบาท ขณะที่ผู้เสียหายที่ 4 จะเงินชดเชย 5 แสนบาท สำหรับผู้เสียหายที่ 6 ได้เงิน 5.5 แสนบาท และชดเชยแก่ผู้เสียหายที่ 7 จำนวน 4.5 แสนบาท รวมเป็นเงินรวม 3 ล้านบาท
ส่วนจำเลยที่ 3 พิพากษาจำคุกทุกกระทงรวม 24 ปี แต่ให้การเป็นประโยชน์ มีเหตุให้บรรเทาโทษคงจำคุก 12 ปี โดยคดีนี้แต่เดิมพนักงานอัยการจังหวัดสุราษฎร์ธานีฟ้องจำเลยกับพวกรวม 29 คน เป็นคดี คม 1/2565 และคดี คม2/2565 ต่อมาจำเลยทั้ง 3 ให้การรับสารภาพ ศาลจึงมีคำส่งให้แยกฟ้องเฉพาะจำเลยทั้ง 3 เป็นคดีใหม่ ส่วนคดี คม 1/2565 และคดี คม 2/2565 ปัจจุบันอยู่ระหว่างสืบพยานล่วงหน้าโดยมีกำหนดนัดสืบพยานโจทก์และสืบพยานจำเลยให้แล้วเสร็จในเดือน พ.ค.66
สำหรับคดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นปี 64 หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ขุนทะเล จ.สุราษฎร์ธานี เข้าให้การช่วยเหลือเด็กหญิงอายุ 13 ปี ซี่งถูกกลุ่มแม่เล้าบังคับให้ขายบริการ ต่อมา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผช.ผบ.ตร. (ตำแหน่งขณะนั้น) ในฐานะรอง ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) สั่งการให้มีการขยายผลและให้การช่วยเหลือเหยื่อซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุระหว่าง 13-18 ปี รวม 10 ราย และจากการสืบสวนขยายผลจึงเข้าจับกุม น.ส.รุ่งฤดี และ น.ส.ตฤษณา (แฟนทอม) ซึ่งผู้เสียหายให้การซัดทอดว่าเป็นแม่เล้า
กระทั่งมีการขยายผลจับกุมผู้ซื้อบริการรวม 29 คน โดยผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหาต่างเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงทั้งข้าราชการครู, นายแพทย์ และทหาร รวมทั้งลูกชายนักการเมืองคนดัง โดยทางพนักงานอัยการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมทั้งสิ้น 5 คดี นอกจากนี้ทาง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ยังเคยระบุว่า จากการสืบสวนสอบสวนเชิงลึกพบมีข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ระดับรองอธิบดี กรมกิจการเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็ก เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีในลักษณะให้การช่วยเหลือผู้ต้องหาด้วย ซึ่งทั้งหมดจะถูกดำเนินคดีในข้อหา “ขัดขวางกระบวนการสอบสวนสืบสวนกระบวนการค้ามนุษย์และแทรกแซง รวมถึงปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157”