สองรัฐมนตรีระดับสูงของสหรัฐฯ เยือนยูเครนครั้งแรก สัญญาเพิ่มความช่วยเหลือด้านอาวุธ โดยให้ความมั่นใจว่า ยูเครนจะชนะรัสเซียได้ด้วยอาวุธที่เหมาะสม แต่รัสเซียเตือนสหรัฐฯ จะทำให้สงครามเลวร้ายลง
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหร้ฐฯ และพลเอก ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ นั่งรถไฟจากโปแลนด์ไปเยือนกรุงเคียฟของยูเครนเมื่อวันอาทิตย์ (24 เม.ย.) โดยเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของสหรัฐฯ ที่ไปเยือนยูเครนนับตั้งแต่สงครามเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ทั้งคู่พบหารือกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี พร้อมด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม และรัฐมนตรีมหาดไทยของยูเครนนานเกือบ 3 ช.ม. พร้อมทั้งประกาศเพิ่มความช่วยเหลือทางทหารอีกกว่า 700 ล้านดอลลาร์
บลิงเคน เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวที่โปแลนด์ใกล้พรมแดนยูเครนในวันนี้ (25 เม,ย.) หลังการเยือนว่า นักการทูตสหรัฐฯ จะกลับไปประจำการที่ยูเครนตั้งแต่สัปดาห์หน้า และเริ่มหารือเรื่องการเปิดสถานทูตในกรุงเคียฟอีกครั้ง โดยจะดำเนินการอย่างระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยของบุคลากรเป็นสำคัญ นอกจากนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะเสนอชื่อ บริดเจ็ต บริงค์ เป็นเอกอัครราชทูตประจำยูเครน หลังจากตำแหน่งนี้ว่างลงนับตั้งแต่เอกอัครราชทูตคนก่อนถูกเรียกตัวกลับเมื่อปี 2562
นอกจากนี้บลิงเคน เปิดเผยว่า เราได้เห็นว่า รัสเซียไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของสงครามในยูเครน รัสเซียมีเป้าหมายหลักเพื่อควบคุม ยึดอธิปไตย และยึดเอกราช แต่ล้มเหลว รัสเซียหวังแผ่ขยายอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจ แต่ผลกลับตรงกันข้าม และรัสเซียต้องการสร้างความแตกแยกระหว่างชาติตะวันตก กับ องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต แต่สิ่งที่เห็น คือ ตรงกันข้าม
นอกจากนี้ออสติน กล่าวด้วยว่า ชาวยูเครนสามารถเอาชนะรัสเซียได้ด้วยอาวุธและการสนับสนุนที่เหมาะสม และสหรัฐฯ พร้อมทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้มั่นใจว่ายูเครนจะได้รับชัยชนะ
ขณะที่ทำเนียบประธานาธิบดียูเครน ออกแถลงการณ์ระบุว่า ประธานาธิบดีเซเลนสกี เปิดเผยว่า ความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐฯรวม 3,400 ล้านดอลลาร์ในขณะนี้ช่วยเสริมศักยภาพการป้องกันประเทศสู่ระดับใหม่ในเชิงคุณภาพ และยูเครนซาบซึ้งกับความช่วยเหลือมากมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่อนาโตลี อันโตนอฟ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐฯ เปิดเผยว่า รัสเซียได้ส่งหนังสือเตือนถึงรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องให้หยุดจัดส่งอาวุธให้ยูเครน และบอกด้วยว่า ความช่วยเหลือดังกล่าวไม่ช่วยให้สามารถหาทางยุติปัญหาด้วยวิถีทางการทูตได้ พร้อบกับเตือนว่า สหรัฐฯ กำลังเพิ่มความเสี่ยงและทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง